การขับรถใน Iceland
หลังจากเราได้จองรถเรียบร้อย ทำใบขับขี่สากลเรียบร้อย ที่เหลือก็แค่แต่งหน้าปะแป้งรอวันนั้นของเดือนให้มาถึงแล้วละครับ
หัวข้อนี้มาพูดถึงการขับรถในประเทศไอซ์แลนด์กันนะครับ ด้วยความที่ประเทศมีลักษณะเป็นเกาะ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ถนนเส้นหลักจึงเป็นถนนที่วิ่งได้รอบเกาะ วนกลับมาที่จุดเดิมได้เสมอ เรียกว่า Ring road ครับ
Ring road คือ ทางหลวงหมายเลข 1 เปรียบได้กับถนนสายประธานแบบ เพชรเกษม พหลโยธิน ของไทยนะครับ อย่างในภาพก็จะหมายถึงถนนเส้นสีดำทั้งหมดนะครับ ส่วนเส้นสีเหลืองที่เห็นตอนกลางของประเทศจะเรียกว่า F-road ครับ
F-road ในไอซ์แลนด์ หมายถึง mountain road คือ เป็นถนนที่ต้องใช้รถ 4WD เท่านั้น
ในไอซ์แลนด์จะเรียกบริเวณตอนกลางของประเทศว่า Highland ครับ ไม่ใช่นักท่องเที่ยวปกติที่ไปกัน ดูให้ชัดขึ้น ก็คือ ถนนสายสีเหลืองๆที่อยู่ตรงกลางทั้งหมดนี้ครับ เป็นเขตไร้คนอยู่อาศัย ไร้บ้านเมือง จะไปทีต้องไปเป็นทีมครับ
กฎจราจรสำหรับคนที่นี่ คือ
1.) พวงมาลัยอยู่ทางซ้าย รถขับเลนขวา
ตรงกันข้ามกับเมืองไทยทุกอย่าง แรกอาจจะไม่คุ้น ขับไปสักพักก็จะชินครับ ถ้าไม่นับถนนในเมืองหลวงอย่างเรคยาวิคแล้ว นี่แทบจะเรียกได้ว่าสนามหัดขับรถก็ได้ เพราะไม่มีใครเลยยย แต่ยังไงก็ตามคนขับควรจะเป็นคนขับที่มีประสบการณ์พอสมควรนะครับ
2.) ความเร็วในการขับขี่ เป็นเรื่องสำคัญมากครับ
- ในเขตเมืองไม่เกิน 50 กม./ชม.
- ในเขตชุมชนไม่เกิน 30 กม./ชม.
- เขตนอกเมืองถ้าถนนลาดยางก็ไม่เกิน 90 กม./ชม.
- ถนนลูกรังก็ไม่เกิน 80 กม./ชม.
มีกล้องจับความเร็วแทบจะทุกจุดในถนนหลักของประเทศครับ ถ้าโดนปรับทีก็หนักอยู่
ผมเคยได้ยินเขาบอกกันว่า เนื่องจากตอนที่เราจองรถเนี่ย เราต้องทำผ่านบัตรเครดิตถูกไหมครับ ทีนี้บางทีหลังจากที่เรากลับเมืองไทยมาแล้ว ตำรวจดันมาตรวจพบและจะเอาเรื่องย้อนหลังเนี่ย เขาไม่สามารถตามหาเราได้แล้วเพราะเราอยู่เมืองไทย เขาก็จะไปเล่นกับเจ้าของรถเช่าแทนด้วยการปรับเงินผ่านบัตรเครดิตที่เราให้เอาไว้ พร้อมกับส่งเอกสารและหลักฐานตามมาอีกทีหนึ่งครับ
3.) สัญลักษณ์กฎจราจรเป็นตามแบบมาตรฐานสากล
แต่อาจมีสัญลักษณ์ที่ไม่คุ้นในเมืองไทยอยู่บ้างครับ ไปโหลดโปรแกรมเก็บไว้ในมือถือกันได้ที่
Icelandic Traffic Signs (Android version)
4.) ต้องเปิดไฟหน้ารถตลอดเวลา และคาดเข็มขัดนิรภัยตลอด ไม่ว่าจะเช้าหรือกลางคืน อันนี้คือบังคับเลยนะครับ
5.) ห้ามใช้โทรศัพท์ระหว่างการขับรถ
6.) ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิดไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
7.) คนขับรถต้องอายุมากกว่า 17 ปี
กรณีฉุกเฉินทำอย่างไร
โทรหาเบอร์สายด่วนพิเศษ 112
112 เบอร์เดียวทั่วประเทศ โทรฟรี ไม่จำกัดเวลา
สามารถโหลด application “112” ไปใช้ได้ตามนี้ครับ
เรื่องปั๊มน้ำมัน
- ไอซ์แลนด์มีปั๊มน้ำมันอยู่ทั่วประเทศ (ยกเว้นในเขต Highland)
- เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (เนื่องจากเป็นระบบอัตโนมัติ คนเติมต้องจ่ายเงินและเปิดหัวจ่ายเติมน้ำมันเอง ไม่มีเด็กปั๊มเหมือนเมืองไทย) แต่ปั๊มน้ำมันจะตั้งอยู่เฉพาะเขตเมืองเท่านั้น นอกเมืองไปไม่มีเลย และบางช่วงที่ระยะห่างระหว่างเมืองไกลมาก เพราะฉะนั้น การกะระยะทางระหว่างเมืองให้เหมาะสมและเติมน้ำมันให้เต็มถังอยู่ตลอดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ
- แต่ทั้งนี้บางที่กลางทุ่งก็มีตั้งอยู่ครับ แต่จะเป็นอัตโนมัติทั้งหมด ไม่มีคนเฝ้าเลย
ราคาน้ำมัน
น้ำมันสำหรับรถยนต์มีแค่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ Gasohol 95 และ Diesel เท่านั้นครับ
ราคาเฉลี่ยต่อลิตร Gasohol ราว ๆ 1.57 ยูโร Diesel อยู่ที่ 1.53 ยูโรครับ (ราคาเบนซินกับดีเซลแทบไม่แตกต่างกันเลย)
ในไอซ์แลนด์มีปั๊มอยู่หลายเจ้าครับ แต่เจ้าที่เห็นบ่อยจนชินตา คือ N1 และ Olis ครับ เจอกันเกือบทุกที่ แต่ N1 จะเจอมากกว่า คือ มีครบทุกเมืองในไอซ์แลนด์ครับ
บรรยากาศปั๊มน้ำมันในไอซ์แลนด์เหมือนกับเป็นจุดพักรถเลยละครับ บรรยากาศคล้าย ๆ เมืองไทย คือ มีทุกอย่าง ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้องน้ำ และร้านค้าพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์ต่าง ๆ ครับ เวลาเปิด-ปิดแล้วแต่เจ้าของว่าจะเปิด-ปิดกี่โมงบอกไม่ได้ แต่โดยเฉลี่ย คือ 08.30-20.30 น. ครับ โดยจะปิดเฉพาะส่วนร้านค้าเท่านั้น แต่ส่วนตรงหัวจ่ายน้ำมันเติมได้ตลอด 24 ชม. ครับ
การจ่ายเงินค่าเติมน้ำมัน
1.) Credit card เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดครับ จะ Visa หรือ Master card ก็ได้ แต่สำคัญตรงให้เราไปเปิดบัตรเครดิตชนิดที่มี pin ที่สามารถกดใช้เงินสดได้ (ถ้าแบบไม่มี pin ใช้กับหัวจ่ายน้ำมันไม่ได้นะครับ ใช้ได้แต่รูดบัตรซื้อสินค้าอย่างเดียว)
2.) N1 card เป็นบัตรเงินสดที่ใช้กับปั๊ม N1 เท่านั้น ซื้อ 10,000 บาท ก็เติมได้ 10,000 บาท แต่ดีกว่าบัตรเครดิตตรงที่ จะมีส่วนลดให้ 1 ISK ต่อ 1 ลิตรน้ำมัน ที่เราเติม (ลดประมาณ 30 สตางค์ต่อ 1 ลิตร) โดยบัตรนี้สามารถซื้อได้ที่ปั๊มน้ำมัน N1 ครับ นอกจากเอามาใช้เติมน้ำมันแล้ว เรายังใช้เพื่อซื้อของในร้าน N1 ได้ด้วยครับ ปัจจุบันนี้มีหลายแบบครับตั้งแต่ 3000-5000-10000 ISK
สรุปซื้อ N1 card ก็สะดวก บัตรเครดิตก็สะดวก จะใช้อะไรก็ตามใจเถอะ
แต่ที่ต้องจำไว้เสมอคือ เงินที่เหลือในบัตรแลกคืนไม่ได้นะครับ ต้องใช้ให้หมดสถานเดียว
ประกันภัยรถยนต์
ตอนที่เราจองรถ จะมีเรื่องของประกันมาให้เรางงกันอีกรอบ ผมจะสรุปให้แบบเข้าใจง่ายๆเลยครับ
Collision Damage Waiver (CDW)
- อันนี้คือประกันภัยมาตรฐานที่จะติดอยู่ในรถทุกๆคันที่เราเช่ามา แปลเป็นภาษาไทยคือ “ประกันประเภท 3”
- ถ้าเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แต่โดนคนอื่นมาชน เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
- ถ้าเราเป็นฝ่ายผิดเอง จะขับไปชนรถ ชนเสา ชนก้อนหิน เราต้องรับผิดชอบตามกฎของเจ้าของรถที่เราเช่าเขามา โดยปกติในไอซ์แลนด์ จะกำหนดไว้ที่ 2,000 Euro หมายถึงว่าอะไร
- ถ้าเกิดความเสียหายที่เกิน 2,000 Euro เราก็เสียแค่ 2,000 Euro
- แต่ถ้าเกิดความเสียหายที่น้อยกว่า 2,000 Euro เราต้องเสียตามจริงที่เกิดขึ้น
Super Collision Damage Waiver (SCDW)
- แบบนี้ดีขึ้นมาหน่อย แปลเป็นภาษาไทยคือ “ประกันประเภท 1”
- อันนี้ไม่ฟรี เราต้องเสียเงินเพิ่มเป็น option พิเศษ โดยเฉลี่ยเขาจะคิดที่วันละ 10 Euro/day ครับ เช่ารถกี่วันก็ซื้อไปตามจำนวนวันที่เราเช่า
แต่ประกันประเภทนี้ ผมลองดูจากหลายบริษัที่เช่ารถแล้ว มีความแตกต่างกันดังนี้ครับ
- Kuku camper อันนี้ถ้าเราซื้อแล้ว สมมติเกิดอุบัติเหตุรถมีความเสีย เราไม่ต้องจ่ายเงินอะไรเพิ่มเลย
- Happy camper ถ้าเราซื้อแล้ว เขาจะลดเพดานความรับผิดชอบของเราลงมา จาก 2,000 Euro มาเป็น 600 Euro แทน แล้วกฎการใช้ก็เหมือนกับประเภท CDW ครับ
Gravel Protection (GP)
เนื่องจากประเทศนี้ฝุ่นดินและหินเยอะมาก แถมลมยังแรงอีก ขับไปเพลินๆอาจจะมีก้อนหินมากระแทกกระจกเป็นรอย ถ้ามีประกันอันนี้ก็ช่วยลดภาระลงไปครับ
Theft Insurance (TI)
อันนี้ประกันรถหาย ผมว่าไม่น่าหายนะ เพราะ Camper van คือรถบ้าน แล้วเราก็แทบจะอยู่ในบ้านตลอดเวลา
สรุป
ถ้าเป็นผมแนะนำนะครับ ให้เราทำ SCDW เพิ่ม เนื่องจากเป็นการลดความเสี่ยงอย่างชัดเจน ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่เลยครับ
หากใครสนใจอุปกรณ์การเดินทาง เป้แบคแพค เสื้อแจ็คเก็ตกันลมกันฝน เสื้อขนเป็ด ลองจอน ถุงมือกันหนาว
สามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าได้ที่ ร้านของพวกเรา The Puffin House