OMAN SAND SEA SUN

0
6132

Oman

รอมฎอน

วิปัสสนา

เราต้องรอด!!!

ทริปนี้มีความสนุกตรงที่ไปช่วงรอมฎอนพอดิบพอดี

มันก็เลยเป็นประสบการณ์อดอาหารเต็มขั้นครั้งแรก

ร้านอาหารเริ่มเปิดกันตอน 18.45 น.

แต่ไม่ว่ายังไงมันก็มีหนทางสำหรับคนหิวเสมอ:)

โอมานเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีครบทุกรสทั้ง ทะเลทราย โอเอซิส ภูเขา และทะเล บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน ไม่เห็นขยะแม้เพียงชิ้นเดียว ถนนหนทางทำดีมาก ขับรถง่าย ผู้คนที่นี่น่ารัก ใจเย็น และมีน้ำใจมากมาย เป็นอีกประเทศที่รู้สึกเที่ยวได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย


รอมฎอน วิปัสสนา เราต้องรอด!!!

สิ่งที่เรามองว่าเป็นปัญหาของการเดินทางครั้งนี้คือ

“รอมฎอน”

รอมฎอนคือ ช่วงเวลาถือศีลอดประจำปีของชาวมุสลิม ซึ่งจะตรงกับเดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม โดยจะต้องละเว้นจากการกินและดื่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นไปยังพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเวลามาตรฐานที่พระอาทิตย์ตกดินและเริ่มให้กินอาหารได้คือเวลา 18.45 น.

แต่พอได้มาศึกษาหาข้อมูล ได้เดินทางมาสัมผัสจริงๆแล้ว บางทีปัญหาที่ว่านี้ กลับไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเลี่ยงเลย มีสองทางเลือกคือปรับตัวที่จะไม่กิน หรือไม่ก็ลองหาช่องทางในการหาของกินแบบเหมาะสมและถูกกาลเทศะของบ้านเมืองเขา

Survival tips เล็กๆน้อยๆของเราสำหรับวิธีการหาของกินในช่วงรอมฎอน คือจริงๆมันไม่โหดร้ายเหมือนที่คิดไว้เลยนะ คือเรากินได้ปกติแค่อย่ากินให้เขาเห็นหรือกินในที่สาธารณะเฉยๆ

  1. ตุนเสบียงจาก Supermarket ถึงแม้จะเป็นช่วงรอมฎอน แม้ทุกอย่างจะปิดและเปิดอีกทีตอน 18.45 น. แต่ Supermarket เปิดนะจ๊ะ แต่ห้ามกินอาหารและน้ำในที่สาธารณะ ให้ทานในที่มิดชิดหรือในรถ
  2. ใน Muscat จะมีร้านอาหารที่เปิดตอนเที่ยงอยู่คือร้าน Olivos Coffee Shop เป็นร้านที่อยู่ในโรงแรม Radisson Blu Hotel ซึ่งราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
  3. กินมื้อเช้าจากโรงแรมให้อิ่มๆไปเลย
  4. ตุนเสบียงจากเมืองไทยไปบ้าง
  5. มีแอปพลิเคชันสั่งอาหาร Talabat , Akeed  หรือสั่ง Delivery ของ Mcdonald

ข้อดีของการเที่ยวช่วงรอมฎอน

    1. ผอม!! เป็นการ Intermittent Fasting ไปในตัว
    2. ร้านค้า ร้านอาหารปิดดึก ตอนดึกๆจะคึกคักเป็นพิเศษ
    3. คนเที่ยวน้อยเวอร์ รู้สึกส่วนตัวมาก
    4. เป็นการท่องเที่ยวแบบฝึกความอดทน ฝึกการยับยั้งชั่งใจ
    5. ถ้าขอวีซ่าแบบ Visa on arrivals ก็จะรวดเร็ว แบบแทบไม่ต้องต่อคิว

VISA (2019)

การขอ Visa ไปโอมานสามารถทำได้ 2 แบบคือ

  1. ขอ Visa online ผ่านทาง https://evisa.rop.gov.om/en/home# เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ก็จะมี
  • ไฟล์ภาพหน้า Passport อายุเหลือเกิน 6 เดือน
  • ไฟล์รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 2 นิ้ว
  • ค่า Visa online เที่ยวไม่เกิน 10 วัน ราคา 5 OMR ตัดผ่านบัตรเครดิต
  • แต่จะแนบเอกสารอื่นๆไปเพิ่มเช่น เอกสารรับรองการทำงาน, Flight Details และใบจองโรงแรม ไปด้วยก็ได้

โดยขนาดไฟล์เอกสารต้องไม่เกิน 512 KB ใช้เวลาไม่เกิน 1 วันก็จะได้วีซ่าเลย สะดวกมากๆ แต่ต้องเดินทางเข้าประเทศโอมานหลังได้วีซ่าไม่เกิน 1 เดือน

2. ทำ Visa on arrivals คือทำที่โอมานเลย ราคา 6 OMR ข้อเสียคือต่อคิวนาน แต่ถ้าไปช่วงรอมฎอนปัญหารอคิวนานนี้ตัดไปได้เลย


หนีร้อนไปพึ่งร้อนกว่า

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวคือ ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ นอกนั้นจะร้อนมากๆ ช่วงที่เราไปคือวันที่  15-21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งตรงกับช่วงรอมฎอนของปีนี้พอดี และช่วงที่ไปก็เหมือนจะเป็นช่วงที่ร้อนมากๆของโอมาน แต่ดันไม่รู้เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดันมีมรสุมเข้า ทำให้ฝนตก อากาศจึงเย็นขึ้นมาบ้าง

Day 1: Nakhal Fort, Royal Opera House * พักที่ Riyam Hotel

Day 2:  Sultan Qaboos Grand Mosque, Mutrah Souq, Bimmah Sinkhole, White Sand Beach, Wadi Shab, เมือง Sur *พักที่ Al Ayjah Plaza Hotel

Day 3: Sur viewpoint, Wadi Bani Klalid, Wahiba Sand *พักที่ Desert Night Camp

Day 4: Wahiba Sand,  Birkat Al Mous Ruin, เมือง Nizwa *พักที่ Antique Inn.

Day 5: Nizwa Fort, Misfat Al Abriyyin, Jebel Sham *พักที่ Canyon Rest House Jabal Shams

Day 6: Bahla Fort, Jibreen Castle, Al Alam Royal Palace, กลับไทย


การเดินทางในโอมาน

  1. เวลาเดินทาง Google map พามั่วได้ แนะนำใช้แอปพลิเคชัน WAZE ดีงามมาก ไม่หลงเลย และมีบอกว่ามีกล้องดักจับความเร็วที่ตรงไหนบ้างด้วย
  2. แนะนำเช่ารถ 4WD เพื่อการขับขึ้นเขา Jebel Shams ที่ราบรื่น เราเช่ารถจาก Rentalcars เป็นรถ Mitsubishi Outlander เราไปกัน 5 คน กำลังสบายเลย
  3. ขับรถตรงข้ามกับไทยทุกอย่าง ไม่ค่อยมีสัญญาณไฟเขียวไฟแดง เป็นวงเวียนมากกว่า
  4. มีกล้องตรวจจับความเร็วตลอดทาง
  5. กฎหมายที่นี่แรงมาก ถ้าแค่ฝ่าไฟแดงหรือชูนิ้วกลางก็เข้าคุกไปนอนหนึ่งคืน และห้ามฟังเพลงในรถเสียงดัง
  6. น้ำมันที่นี่ราคาถูกเวอร์ ถนนหนทางก็ดีงามมากมาย เช่ารถขับเองสบายและประหยัดมากเป็นประเทศที่เหมาะกับ Road Trip ที่สุด

You’ll always be

My Day 1

Nakhal Fort

เริ่มต้นวันแรกด้วยการฝึกขับรถไปที่ Nakhal Fort เป็นป้อมปราการป้องกันข้าศึกสีส้มอิฐนวลๆ ป้อมนี้อยู่ห่างจากใจกลางกรุง Muscat ไปประมาณ 1 ชั่วโมง ยอมรับเลยว่าถนนที่นี่ทำดีมาก แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นชินทางทำให้ขับเลยบ่อยมาก และการกลับรถเพื่อกลับมาเส้นทางเดิมค่อนข้างไกล บางทีขับวนเป็นลูปแบบเดิมสองครั้งก็มี แต่สุดท้ายเราก็ถึงเป้าหมาย Nakhal Fort แม้ระหว่างทางจะตะกุกตะกัก แต่ปลายทางนั้นหนักกว่า เพราะ Nakhal Fort ปิดเพื่อทำการบูรณะ แต่ไม่เป็นไรปลอบใจตัวเองว่ามองจากข้างนอกก็สวยไปอีกแบบนะ

Royal Opera House
Royal Opera House

หลังจากนั้นก็มุ่งหน้ากลับเข้า Muscat ไปยัง Royal Opera House  โรงละครหรือสถานที่แสดงผลงานด้านดนตรีและวัฒนธรรมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหินทรายสไตล์ศิลปะดั้งเดิมของโอมาน ซึ่งก็ปิดเช่นกันเพราะปกติจะเปิดต่อเมื่อมีงาน

มื้ออาหารเย็นที่รอคอย เริ่มตอน 18.45 น. ณ ร้านริมทะเลวิวสวยงามชื่อ Al Makan Cafe เรานัดแป้ง เพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมที่มาทำงานที่โอมานได้ 5 ปีแล้ว แป้งแนะนำทุกสิ่งที่โอมานไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชัน Waze ที่ทำให้เราเดินทางในโอมานได้ไม่มีหลง สถานที่ท่องเที่ยว ข้อควรระวังต่างๆ Lifestyle ของคนที่นี่ การกินอาหารช่วงรอมฎอน และอื่นๆอีกมากมาย ขอบคุณมากๆเลยจริงๆ :))


The Falling Star

Sultan Qaboos Grand Mosque

Sultan Qaboos Grand Mosque เป็นมัสยิดหรือสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในโอมาน Highlight ของที่นี่นอกจากเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่สวยงามสร้างจากหินทรายกว่าสามแสนตันแล้ว ก็ให้สังเกตพรมที่ใหญ่มากๆในห้องสวด Main Prayer Hall เพราะเป็นพรมที่ทอมือผืนเดียวที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ทอโดยหญิงพรมจรรย์จำนวน 600 คน ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ปี

Sultan Qaboos Grand Mosque
Sultan Qaboos Grand Mosque

Sultan Qaboos Grand Mosque เปิดเวลา 8.00-11.00 น. เปิดทุกวันยกเว้นวันศุกร์ เนื่องด้วยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงต้องแต่งมิดชิดมากและโพกหัว แต่ถ้าแต่งไม่เรียบร้อยเหมาะสมก็จะมีชุดให้เช่าตรงหน้าทางเข้า ราคาประมาณ 1.5 OMR

พรมที่ทอมือผืนเดียวที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ณ ห้องสวด Main Prayer Hall

ก่อนจะออกนอกเมืองก็แวะ Shopping ที่ Mutrah Souq คำว่า Souq อ่านว่า ซุค แปลว่า ตลาด บรรยากาศในตัว Souq ก็จะคล้ายๆจตุจักรบ้านเรา แต่ไม่หนาแน่นเท่า ของที่ขายก็จะเป็นพวกผ้าโพกหัว หมวกพื้นเมือง น้ำหอม เครื่องประดับ และของพื้นเมืองต่างๆ ราคาสามารถต่อได้ เราได้ผ้าโพกหัวสีชมพูกุหลาบปักรายสวยงามราคาหลังต่อรองแล้วคือ 7 OMR ติดไม้ติดมือมา และเขาจะสอนวิธีพันผ้าลุคคูลๆสไตล์อาหรับให้ด้วย

Bimmah Sinkhole

Bimmah Sinkhole เป็นที่ๆเราอยากมามากสุดในโอมาน บ้างก็ว่าบอกว่าเกิดจากอุกกาบาต บ้างก็บอกว่าเกิดจากการทรุดตัวจากน้ำทะเลกัดเซาะ แต่ไม่ว่าจะเกิดจากอะไร ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งสวยงามเกินคำบรรยายจริงๆ

Bimmah Sinkhole

มันคือสวนสาธารณะ?

ภาพแรกที่เห็นและดูไม่แน่ใจว่ามาถูกที่มั้ย คือมันดูเป็นสวนสาธารณะที่ไม่มีอะไรเลย ทำให้เกือบคิดว่ามาผิดที่ แต่พอเดินไปดูใกล้ๆก็พบว่า มันมีหลุมน้ำที่ใหญ่อลังการงานสร้างมาก อากาศที่ร้อนและน้ำสีเขียวมรกตไล่สีเข้มไปอ่อนดึงดูดใจให้ลงไปเล่นน้ำ เราค่อยๆเอาเท้าลงไปจุ่ม น้ำเย็นชื่นใจมาก และที่พลาดไม่ได้คือการลองชิมน้ำสักนิดหลังจากถกเถียงกับเพื่อนว่ามันเป็นน้ำจืดหรือน้ำเค็ม ผลสรุปคือ เค็มปี๋เลยจ้า

Bimmah Sinkhole
Bimmah Sinkhole

การแช่น้ำที่นี่ค่อนข้างจั๊กเดียม เพราะปลาที่นี่ดูหิวโหยมาก พอลงไปก็ว่ายเข้ามาหาแบบเหมือนน้องหมาที่ไม่ได้เจอเจ้าของมานาน เข้ามาเหมือนมาเลียด้วยความคิดถึงแต่ไม่ใช่ มาตอดจ้า ปลาที่นี่ค่อนข้างหิว ตอดแรงไม่ละมุนเหมือนสปา

White Sand Beach
ฝูงลาระหว่างทาง

White Sand Beach คือตรงไหนไม่รู้ แต่ระหว่างทางจาก Bimmah Sinkhole ไป Wadi Shab จะเป็นเส้นทางที่วิ่งเรียบหาดทรายสีขาวนวลตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าสดใสตลอดทาง คืออยากแวะลงไปวิ่งเล่นแทบจะทุกจุด และนอกจากทางซ้ายจะเป็นวิวทะเลแล้ว ทางขวาก็น่าสนใจไม่แพ้กันมีฝูงลา และกวางให้ดูด้วย

Wadi Shab
Wadi Shab

Wadi Shab โอเอซิสที่มีทางเดินไปยาวนานไม่มีสิ้นสุด ระหว่างทางมีต้นอินทผาลัมเต็มไปหมด มีน้ำสีฟ้าใสให้เห็นเกือบตลอดทาง และมีทางน้ำจุดเด่นของที่นี่คือการว่ายน้ำไปดูถ้ำที่มีน้ำตกซึ่งควรจ้างไกด์ไปด้วย และควรเป็นคนที่ว่ายน้ำแข็งระดับหนึ่ง แนะนำว่าควรให้เวลากับที่นี่เยอะๆหน่อย เพราะเป็นที่ที่ต้องใช้เวลาเดินเข้าไป และถ้าจะว่ายน้ำด้วย ควรจะมาที่นี่เป็นอันดับแรกๆ ของวันนั้นๆ เรามาถึง Wadi Shab ก็บ่ายสี่โมงแล้ว และช่วงรอมฎอนเขาก็จะปิดเร็วขึ้น เรือรอบสุดท้ายที่รอรับเรากลับมาคือตอนหกโมงเย็น ค่าขึ้นเรือข้ามฝากไปกลับอยู่ที่ 1 OMR

Wadi Shab

ช่วงเวลาที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อคือช่วงเวลาหกโมงสี่สิบห้านาที เราวิ่งเข้าเมือง Sur มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารชื่อ Sur Sea Restaurant เป็นอาหารทะเลอาหรับที่อร่อย รสชาติดีงามสุดเท่าที่เคยลองมาแล้ว ราคาก็ไม่แพงเลย

จบการเดินทางวันแรกด้วยการมุ่งหน้าเข้าที่พัก Al Ayjah Plaza Hotel ที่พักที่ใครๆก็บอกต่อ


อยากเห็นเมืองทั้งเมือง ก็ต้องขึ้นที่สูง

เมือง Sur
เมือง Sur

เมือง Sur เป็นเมืองที่เราชอบวิวและบรรยากาศที่สุดของการเดินทางครั้งนี้ เป็นเมืองที่มองจากที่สูงลงมาจะเห็นบ้านเมืองดูมีสไตล์ ทรงเหลี่ยมๆ คลุมโทน สีออกสีขาวหม่นๆ ขับกับสีฟ้าอมเขียวมรกตของเวิ้งอ่าวทะเล มองซูมๆดีๆจะเห็นเรือ Dhow ซึ่งคือเรือโบราณหน้าตาน่ารักสไตล์ชาวโอมาน

เรือ Dhow คือเรือโบราณหน้าตาน่ารักสไตล์ชาวโอมาน

วิวที่เราถ่ายมามีจุดขึ้นตรงโรงแรม Al Ayjah Plaza Hotel โรงแรมราคาไม่แพง แต่ห้องพัก การบริการและวิวเกินราคาที่พักไปไกลเลย

Wadi bani khalid
Wadi bani khalid

Wadi bani khalid เป็นโอเอชิสน้ำสีเขียวปี๋ สวยมั้ย ก็สวยแบบดูปรุงแต่งเล็กๆ แต่ที่แน่ๆที่นี่ปลาตอดแรงกว่า Sinkhole อีกนะ ที่นี่จะมีการ์ดใส่เสื้อสีเขียวสะท้อนแสงคอยสอดส่องดูแลนักท่องเที่ยวเพราะน้ำมันลึกมาก เราไม่ได้ลงเล่น แค่นั่งเอาเท้าจุ่มน้ำ แต่ดีแล้วที่ไม่ลงทั้งตัวเพราะแค่นี้ก็โดนฝูงปลารุมตอดอย่างหนักหน่วง แต่ถ้าเล่นน้ำที่นี่จะติดป้ายให้ใส่ชุดว่ายน้ำแบบมิดชิด ไม่เหมือนที่ Bimmah Sinkhole กับ Wadi Shab ที่ให้แต่งตัวตามสบายได้ แต่มันมีโซน Wadi bani klalid แบบ Unseen เหมือนกันแต่ต้องจ้างไกด์นำทางไป

หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าเดินทางไปที่จุดนัดหมายกับทางที่พัก Dessert night camp ที่นัดเราที่ปั้มน้ำมัน Al Maha ที่เมือง  Alwasil เนื่องจากเราขับ 4WD เราจึงสามารถเอารถเข้าไปที่ Camp ได้ โดยขอให้ทางที่พักขับรถนำทางเข้าไป ทางที่เข้าไปค่อนข้างขุรขระ ขับสนุก วิวระหว่างทางเป็น Sand Dune ที่ยิ่งใหญ่ขนาบสองข้างทาง สวยใช่ย่อยเลยหล่ะ

Dessert night camp
พันหัวสไตล์อาหรับแบบที่พ่อค้าสอน

Dessert night camp เป็น Luxury camp ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย Wahiba Sand เครื่องปรับอากาศที่โอมานสู้กับอากาศร้อนระอุได้อย่างน่าเหลือเชื่อจนต้องแอบจำยี่ห้อเครื่องปรับอากาศไว้เลยทีเดียว ที่ Dessert night camp ราคาที่พักจะรวมอาหารเย็นและเช้าแล้ว ซึ่งอาหารดีมาก

Dessert night camp

นอกจากนี้ที่พักยังมีบริการขับรถไปชมพระอาทิตย์ตกบนยอด Sand Dune ฟรี  แต่ว่าาาาา เรามองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากฝุ่นที่ถูกพัดมาอย่างแรงโดยลม ลมแรงมากจนยืนไม่ไหว เหมือนตัวจะปลิว สรุปว่าลมแรงจนคนขับบอกว่าฝนจะตกให้รีบขึ้นรถกลับลงไป

Wahiba sand ในวันฟ้าหม่น

เมืองร้าง ไร่อินทผาลัม และเบอเกอร์เนื้ออูฐ

หน้าตาห้องพักของเราที่ Dessert night camp

ตื่นเช้ามาด้วยแรงอธิฐานขอให้ไม่มีลมแรงๆหรือมรสุมแบบเมื่อวาน เพราะจะมาลองเล่น Dune Bashing และ Sand Boards โชคดีที่วันนี้ฟ้าสดใส

Dune Bashing เทคนิคการขับที่มีลีลาเฟี้ยวฟ้าวทรายกระจาย นอกจากความเก่งของคนขับแล้ว อาจจะเป็นที่ลมยางรถด้วย เพราะเขาจะปล่อยลมยางให้ล้อดูนุ่มๆก่อนพาเราไปมันส์กัน ระหว่างขับรถเล่น Dune Bashing คนขับจะถามว่าอยากให้แวะจอดตรงไหนบอกได้เลยนะ  มองวิวจากบน Sand Dune จะเห็นผืนทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล มองไปไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นความสวยที่เรียบง่ายจริงๆ ภาพ Sand Dune วันนี้ช่างต่างจากเมื่อวาน แต่มันก็สวยไปคนละแบบนะ

Wahiba sand ในวันฟ้าใส

เมื่อคนขับขับเจอ Sand Dune ที่สูงพอจะเล่น Sand Boards ก็จอดรถพร้อมสอนวิธีกลิ้งลงไป มองจากข้างบนดูสูงมาก แน่นอนเราไม่ใช่คนแรกที่ต้องลง ด้วยข้ออ้างที่ดูดีมากๆว่า “แกๆ ลงไปก่อนเลยเดี๋ยวเราถ่ายวิดีโอให้” แต่พอลองเล่นแล้วมันสนุกจนลืมห่วงสวยหรือกลัวดำเลย อยากเล่นหลายๆรอบ แต่เนื่องด้วยเวลาเลยเล่นได้แค่คนละสองรอบ รอบสุดท้ายทุกคนลองยืนกันแล้วก็กลิ้งกันไปแบบไม่เป็นท่า แถมทรายเข้าเต็มปากจากการกรี๊ดร้องโวยวาย แต่กลัวอะไรกับแค่ทรายนุ่มๆ ความมันส์ ความเร็ว และความไหลลื่นในการเล่นน่าจะมาจากอะไรไม่รู้ที่เขาทาใต้บอร์ด ความชัน และที่เห็นผลสุดคงเป็นน้ำหนักของคนเล่น

ค่ากิจกรรม Dune Bashing และ Sand Boards 1 ชั่วโมง 1,148 บาท เป็นราคาหารจากเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 5 คน ช่วงที่เราไปไม่มีบริการขี่อูฐ แต่ปกติจะมีบริการฟรี

อูฐน้อยที่ไม่ยอมให้ขี่ ณ Wahiba sand

บางสถานที่ดูใกล้ๆอาจไม่สวยเท่ามองจากมุมไกลๆ การขึ้นไปชมวิวจากที่สูงนั้นทำให้เห็นภาพเมืองร้าง Birkat Al Mouz Ruins ทั้งเมืองรายล้อมด้วยไร่ต้นอินทผาลัม สวยคุ้มค่ากับการปีนขึ้นเขาที่มีแต่หินแหลมคมท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว

เมืองร้าง Birkat Al Mouz Ruins จากมุมสูง
เมืองร้าง Birkat Al Mouz Ruins

หลังจากปีนเขาไปดูเมืองร้าง เราก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเก่าคือเมือง Nizwa เอาของไปเก็บที่ที่พักชื่อ Antique Inn เป็นที่พักสไตล์บ้านโบราณของโอมานที่ใกล้ Nizwa fort มากแบบเดินถึง เจ้าของน่ารักและใจเย็นกับพวกเราที่เป็นกลุ่มเดียวที่พักที่นี่ในคืนนั้น  เจ้าของแนะนำให้ไปเดินเล่นที่ Nizwa Souq เป็นตลาดขายเครื่องปั้นดินเผารอบๆ Nizwa Fort ทำให้เราได้สบู่นมอูฐกลิ่นหอมมากติดไม้ติดมือกลับมา

Nizwa Souq

แผนของวันนี้คือต้องลองชิมเบอเกอร์เนื้ออูฐสักครั้งในชีวิต เลยมาลองกันที่ร้าน Boom Burger ราคาไม่แพงประมาณ เกือบๆ 2 OMR และอร่อยบวกให้เยอะมาก คือกินกันแบบตะกละตะกลามมาก เพราะอดมาทั้งวันเพื่อมื้อนี้มื้อเดียว และพอมาค้นรูปในกล้องดูปรากฎว่าไม่ได้ถ่ายไว้เลยจ้า คงหิวกันมากจริงๆ


Enjoy the rain

After the storm there’s a rainbow

เช้ามาก็ตื่นไปเที่ยว Nizwa Fort เจอค่าเข้า 5 OMR คือประมาณ 400 บาท ก็แอบตกใจเบาๆ คิดว่าข้างในต้องมีอะไรเพราะปกติแทบจะไม่มีที่ไหนในโอมานที่ต้องเสียค่าเข้าชมเลย พอเข้าไปก็พบว่าจริงๆเขาทำเป็นพิพิทธภัณฑ์ติดแอร์เลยนะ มีข้อมูลและรายละเอียดเรื่องราวต่างๆ มองจาก Fort ลงมา ก็จะเห็นวิวเมือง Nizwa จากมุมสูง

Nizwa Fort
Nizwa Fort
ข้างใน Nizwa Fort จะเป็นพิพิธภัณฑ์

Jebel Shams หรือ Mountain of the Sun เป็นเขาที่สูงที่สุดในโอมาน สูงถึง 3,009 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้ที่นี่มีอากาศเย็นตลอด ส่วนใหญ่ก็จะขึ้นมาชม Grand canyon ที่สูงมากจนไม่กล้าเดินไปขอบๆ และขึ้นเขามาตากอากาศเย็นๆในดินแดนตะวันออกกลางกัน ต้องยอมรับเลยว่าถนนที่โอมานถูกสร้างมาอย่างดี แต่จะมีที่ Jebel Shams ที่ควรใช้ 4WD ขึ้นเนื่องจากทางขึ้นเขาที่เป็นทางลูกลัง แต่ก็ถือเป็นทางลูกลังที่ดีมากเช่นกัน ขับไม่ยากเท่าที่คิดไว้

Jebel Shams ในวันฟ้าหม่น

พอขึ้นมาถึงก็หาที่พักที่จองไว้ชื่อ Canyon Rest House Jabal Shams ซึ่งเป็นอารมณ์บ้านตากอากาศปล่อยให้เช่า ที่กว้างมาก มี 3 ห้องน้ำ 3 ห้องนอน นอนได้ห้องละ 2 คน มีครัว มีเตาปิ้งบาร์บีคิว ดีทุกอย่าง ใกล้จุดชมวิว แต่ไม่มีอาหารเช้า และ Internet ให้เหมือนโรงแรม เราจึงเตรียมอาหารมาทำกินกันบนนี้ด้วย แต่จริงๆเขามีคนดูแลซึ่งเราสามารถสั่งอาหารจากเขาได้

Canyon Rest House Jabal Shams คือบ้านตากอากาศที่ทั้งหลังเป็นของเราคนเดียว คือดีมากถ้าฝนไม่ตกนะ
Canyon Rest House Jabal Shams

หลังจากมาเก็บข้าวของเรียบร้อยก็ออกไปจุดชมวิว สภาพอากาศบนนี้หนาวมาก คิดกว่าประมาณ 17 องศาได้ ถึงจะเป็นประเทศเขตร้อน แต่ก็มีบนยอดเขาเนี่ยแหล่ะที่อากาศเย็นสบาย แต่สภาพอากาศโดยรอบขมุกขมัวมากๆ เราเจอคนต่างชาติคนนึงเดินมาคุยกับเราถามว่าวันนี้จะไปไหนต่อ และเตือนว่าอย่าลงจากเขาตอนนี้นะ เพราะฝนกำลังจะตกหนักมาก อาจจะเกิด Flash Flood ได้ ควรหาที่พักบนเขาอย่าเพิ่งลงวันนี้ มันอันตราย

เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศของโอมานที่มีภูเขาแต่กลับแทบไม่มีต้นไม้เลย ทำให้เวลาฝนตกมันจะเกิด Flash flood ได้ ซึ่งคนท้องถิ่นจะดูออกว่าอันไหนคือทางน้ำหรือ Wadi ทำให้เขาสามารถเลี่ยงเส้นทางได้ แต่เราอาจจะดูทางน้ำไม่เป็น ทำให้ถ้าขับลงเขาในตอนที่ฝนตกหนักอาจจะเป็นอันตรายได้

ภาพเหตุการณ์ Flash flood จาก Wadi bani klalid ที่เป็นข่าวเมื่อวานหลอนเข้ามาในหัว ถ้าฝนตกหนักวันพรุ่งนี้พวกเราอาจจะตัดสินใจอยู่บน Jebel Shams ต่ออีกวัน อยู่ในที่พักบนยอดเขาเนี่ยแหล่ะน่าจะปลอดภัย พูดกันไม่ทันขาดคำฝนก็ได้เทลงมาอย่างหนัก ลมพัดแรง น้ำทะลักจากประตูและหน้าต่างที่พักเข้ามา เราพยายามช่วยกันเอาผ้ามาซับน้ำ คิดว่าเอาอยู่ สักพักน้ำมาจากไหนไม่รู้ ไหลมาเต็มพื้น ครั้งนี้มาจากกลางบ้านเลยจ้า น้ำไหลหลากเป็นน้ำตก ในใจทำไรไม่ถูกเลยโทรหาเจ้าของบ้านพักเพื่อขอความช่วยเหลือ เจ้าของพยายามพูดให้เราสงบสติด้วยการอธิบายว่าที่โอมานปกติฝนแทบไม่เคยตกเลยเพราะฉะนั้นบ้านที่สร้างขึ้นจะเป็นสไตล์ Eco House (น่าจะสื่อประมาณว่ามันไม่กันฝนก็ไม่แปลก)

แล้วเราควรทำไง ?

ประโยคที่เขาพูดกลับมากลับทำให้ทุกคนยิ้มออก

และสงบลงอย่างน่าแปลกใจ

เขาแค่พูดประโยคสั้นๆว่า

” Enjoy the rain:)) “

บางทีคำๆเดียว

ประโยคๆเดียวก็เปลี่ยนอารมณ์ได้เลยนะ

หลังจากนั้นพวกเราเลยวางผ้า ไม่ซับน้ำแล้ว

เล่นไพ่ดีกว่า

แทนที่จะนั่งเครียดกับเหตุการณ์ที่เราทำอะไรไม่ได้

เปลี่ยนเป็น

มาเต้นรำท่ามกลางสายฝนแทนดีกว่า;))


หนทางสำหรับคนหิว

ฝนยังคงตกเกือบตลอดทั้งคืน จนแพรเพื่อนที่ชื่อเหมือนเราตื่นมาตอนตี 2 เปิดพยากรณ์อากาศพบว่าฝนจะตกหนัก 100 % ตอน 9.00 น. แพรเลยปลุกเราด้วยความกังวลว่าพรุ่งนี้จะลงจากเขาไม่ได้ เราทั้งคู่ตั้งนาฬิกาปลุกที่เวลาตีห้าครึ่งเพื่อให้มีเวลาลงจากเขาก่อนที่ฝนจะตกหนัก

พอนาฬิกาปลุกตอนตีห้าครึ่งดังขึ้น แพรได้ตะโกนขึ้นมาว่าขอเป็นหกโมงได้มั้ยยยย ความง่วงเกือบเอาชนะทุกสิ่ง แต่ภาพถนนลูกลังทางลงจากเขาซึ่งฝนตกหนักและอาจมีน้ำไหลหลากพุ่งขึ้นมาในหัว เราเด้งจากเตียงรีบปลุกทุกคนเพื่อลงจากเขาให้เร็วที่สุด และทางลงจากเขาก็เป็นแบบที่คาดการณ์ไว้ จากฝนตกเมื่อคืนทางได้ท่วมบางจุดและมีเศษหินตกลงมาเต็มถนนในบางจุด โชคดีที่เอารถ 4WD ขึ้นมาทำให้ผ่านไปได้ ลงจากเขาได้อย่างปลอดภัย และลองกดดูพยากรณ์อีครั้งพบว่าฝนเลื่อนเวลาตกไปตอนบ่ายสามมมมมมมม ตื่นมาเพื่อออออ!!!

ภาพ Ruins of Riwaygh As-Sufil เมืองร้างโบราณระหว่างทาง

สภาพวันนี้ทุกคนเลยเที่ยวกันแบบง่วงๆ ตาปรือๆ และมีเวลามากมายในการไปเที่ยวที่อื่นต่อ เช่น แวะชม Ruins of Riwaygh As-Sufil เมืองร้างโบราณ และไป Bahla Fort ป้อมที่หามุมถ่ายน่ารักๆได้เต็มไปหมด

Bahla Fort
Bahla Fort

และสุดท้าย Jibreen Castle ปราสาทที่ถูกออกแบบให้จัดสรรพื้นที่ทุกตารางนิ้วได้อย่างน่าสนใจ คนดูแลปราสาทน่ารัก สอนพวกเราใช้ Happy Guide ที่หน้าตาคล้ายโทรศัพท์รุ่นโบราณ ที่เอาไว้กดฟังเรื่องราวประวัติความเป็นมาของปราสาทแห่งนี้ เมื่อเที่ยวพวกป้อมกับปราสาทมากๆทำให้ได้รู้ถึงความฉลาดของคนโอมานในการสร้างกลไกต่างๆเพื่อป้องกันศัตรู

Jibreen Castle
หน้าตาของเจ้า Happy Guide ที่เอาไว้กดฟังเรื่องราวประวัติความเป็นมาของ Jibreen Castle
ภายในของ Jibreen Castle มีลายช่องลมที่สวยงาม
Top view จากจุดบนสุดของ Jibreen Castle

คำถามของเพื่อนร่วมทริปผู้แสนหิวโหยก่อนกลับคือ

ไม่มีร้านไหนเปิดตอนกลางวันจริงๆเหรอ?

เพราะการตั้งคำถาม

ทำให้ค้นพบว่ามีร้านอาหารในกรุง Muscat

ที่เปิดท่ามกลางรอมฎอนนั้นมีอยู่จริง

คือร้าน Olivos Coffee Shop 

เป็นร้านที่อยู่ในโรงแรม Radisson Blu Hotel

ร้าน Olivos Coffee Shop ในโรงแรม Radisson Blu Hotel

หลังจากอิ่มท้อง และคิดในใจว่าทำไมไม่ตั้งคำถามตั้งแต่วันแรก ก็ไปเที่ยวสถานที่สำคัญในเมือง Muscat คือ Al Alam Royal Palace กันต่อ

และปิดท้ายด้วยการไปซื้ออินทผาลัมเป็นของฝากใน LULU Supermarket  ซึ่งพอไปดูราคาใน dutyfree ที่สนามบิน ยี่ห้อเดียวกันเป๊ะราคาจะแพงกว่าสามเท่า


*ข้อควรรู้และควรระวังสำหรับการไปโอมาน

  1. ตอนตรวจคนเข้าเมืองผู้หญิงหน้าตาดีจะถูกตรวจละเอียดเป็นพิเศษ ไม่ต้องตกใจนะ

2. ในช่วงรอมฎอนห้ามกินอาหารและน้ำในที่สาธารณะในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นจนถึง 18.45 น.

3. กฎหมายที่นี่แรงมาก ถ้าแค่ฝ่าไฟแดงหรือชูนิ้วกลางก็เข้าคุกไปนอนหนึ่งคืน และห้ามฟังเพลงในรถเสียงดัง

4. ต้องแต่งกายมิดชิด แต่ถ้าออกมานอกเมือง เที่ยวพวกธรรมชาติก็ใส่ชิวๆได้อยู่

5. ของใน Super Market ราคาเท่าๆไทยเลย

6. ส่วนใหญ่สถานที่ท่องเที่ยวในโอมานไม่มีค่าเข้า ยกเว้น Nizwa fort(5 OMR), Bahla Fort(0.5 OMR) และ Jibreen Castle(0.5 OMR)

7. วันหยุดของคนโอมานคือวันศุกร์และเสาร์

8. สถานที่ที่ชีเรียสเรื่องการแต่งกายที่สุดคือ Sultan Qaboos Grand Mosque ต้องแต่งมิดชิดและโพกหัว แต่ถ้าแต่งไม่เรียบร้อยก็จะมีชุดให้เช่า ราคาประมาณ 1.5 OMR


*Simcard

เราใช้ของ ooredoo ซื้อที่สนามบิน ราคา 5 OMR(ราคาประมาณ 400 บาท) ได้ internet 3 GB โทรได้ 50 นาที ถ้าจะเล่น line ต้องโหลด VPN

เพื่อนเราใช้ของ Sims2fly ซื้อจากไทยมาเลยราคา 799 บาท ใช้ line ได้โดยไม่ต้องโหลด VPN สัญญาณไม่ต่างจาก ooredoo ที่เราใช้เลยนะ


*ค่าเงิน

ตอนเราไป 1 OMR = 82 บาท แลกจาก Superrich ต้องโทรจองเงินล่วงหน้า 1 วัน


*Time

เวลาช้ากว่าไทย 3 ชั่วโมง


*Food

เมนูที่ต้องลองคือเนื้ออูฐ แม้จะรักอูฐมากแค่ไหน มาถึงนี่แล้วก็ขอลองสักนิด

เบคอนที่นี่จะเป็นเบคอนเนื้อวัวนะ เขาไม่กินหมูกันจ้า


*ของฝาก

เด่นๆ ก็น่าจะเป็นอินทผาลัม คืออร่อยและราคาถูกมากจริงๆ และถ้าจะซื้ออินทผาลัมไปฝากแนะนำซื้อใน Super Market ซื้อใน Duty free จะแพงกว่าสามเท่า

และของฝากอื่นๆที่เราได้ติดไม้ติดมือมาก็จะมีผ้าโพกหัว และสบู่นมอูฐ


*สรุปค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทาง

ค่าตั๋วเครื่องบิน Oman Air 18,787 บาท

ค่าวีซ่าออนไลน์ 500 บาท

ประกันการเดินทาง 336 บาท

ใบขับขี่สากล 505 บาท

ค่าเช่ารถ Mitsubishi Outlander รวมประกัน 3,383 บาท (เป็นราคาหารจากเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 5 คน)

ค่าน้ำมัน 560 บาท (เป็นราคาหารจากเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 5 คน) น้ำมันถูกเวอร์!!!!

ค่า Sim  ooredoo  400 บาท

ค่าที่พัก 5 คืน 8,500 บาท (เป็นราคาหารจากเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 5 คน)

ค่ากิจกรรม Dune Bashing และ Sand Boards 1 ชั่วโมง 1,148 บาท (เป็นราคาหารจากเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 5 คน)

ค่าเรือ+ค่าเข้าสถานที่ 574 บาท

ค่ากิน 3,500 บาท

สรุปรวม 38,193 บาท


” Sukran ”

means

Thank you

จริงๆเรารู้กันแต่แรกแล้วว่าการไปช่วงรอมฎอนควรเลี่ยง เพราะเรื่องของอาหารการกินและสถานที่มากมายที่ปิด แต่เมื่อเพื่อนร่วมทริปทั้ง 4 คนไม่หวั่น เราก็ไม่หวั่นจ้า ทุกคนหาข้อมูลเพื่อที่จะไปเที่ยวช่วงรอมฎอนได้อย่างราบรื่น และมันก็ราบรื่นและสนุกมากเพราะเราเตรียมใจเตรียมกายมาแล้ว อยากขอบคุณ มิ้นท์ แพร พอ บูม ที่ร่วมเที่ยวเชิงวิปัสสนาและผ่านมรสุม พายุลมทะเลทรายไปด้วยกัน ทั้งทริปจริงๆชอบช่วงเวลาที่เราช่วยกันวิดน้ำออกจากบ้านพัก eco house ของพวกเรา นึกแล้วก็ขำ555

และอยากของคุณแป้งเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานมาก ขอบคุณทุกคำแนะนำ ขอบคุณทุกความเป็นห่วง คืออุ่นใจมาก แม้จะโชคดีเจอ Disaster ฝนตกแบบถล่มทลายที่โอมาน

ขอบคุณที่ไปด้วยกัน

หมอแพร :))