การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา อย่างการไปเยือนสิงคโปร์และอั
งกฤษที่ทำให้พวกผมได้เห็ นความแตกต่างระหว่างวินั ยบนถนนของบ้านเราและทั้ง 2 ประเทศอย่างชัดเจนครับ ส่วนจะแตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลยครับ
บทความนี้เป็นบทความที่เราสองคน “หมอๆตะลุยโลก” ตั้งใจเขียนเพื่อเล่าประสบการณ์ระหว่างการเดินทางที่ได้เห็นการจราจรบนท้องถนน โดยจะขอเขียนเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วที่คุณผู้อ่านรู้จักกันดี อย่างประเทศอังกฤษและสิงคโปร์ สองประเทศที่เป็นเป้าหมายการเดินทางลำดับต้นๆ ของคนไทย ว่าเค้ามีด้านดีอะไรบ้าง เราสามารถเอาด้านดีนั้นของเค้ามาใช้กับของเราได้รึเปล่า แล้วมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยเรา (ประเทศกำลังพัฒนา) ที่มีสถิติเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตบนท้องถนนเป็นอันดับที่ 2 ของโลก
ในประเทศไทยโดยทุกๆ 1 ชั่วโมง จะมีคนเสียชีวิตบนท้องถนนถึง 3 คน ฟังแล้วน่าใจหายนะครับ
เริ่มที่ประเทศสิงคโปร์ ประเทศใกล้บ้านเราที่สุดก่อน คนไทยนิยมไปสิงคโปร์มากนะครับ ผมเดินๆ อยู่แถวมารีนา เบย์ ได้ยินแต่ภาษาไทยทั้งนั้นเลย ซึ่งสาเหตุที่ดึงดูดให้คนบ้านเรานิยมมาเที่ยวที่นี่ ก็น่าจะเป็นความสะอาด ความมีระเบียบวินัย การใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมและสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบรางของรถไฟฟ้า MRT ซึ่งครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทั้งหมด
หากสถานที่ไหนไม่มีระบบรางเข้าถึง ก็จะมีรถประจำทางมากมายหลายสายคอยให้บริการจนถึงเที่ยงคืน
และเนื่องจากประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ ทางรัฐบาลสิงคโปร์จึงไม่อยากให้ประเทศมีรถเต็มถนนจนการจราจรกลายเป็นอัมพาต นำไปสู่การจำกัดปริมาณรถที่จะมาวิ่งบนท้องถนนในแต่ละปี ที่เรียกว่าระบบโควตาการจดทะเบียนรถ (Vehicle Quota System) นั่นเอง การที่คนสิงคโปร์จะซื้อรถซักคันมาขับจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม พร้อมกับเงื่อนไขที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่าประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิ์การเป็นเจ้าของครอบครองรถ ที่จำกัดไว้ไม่เกิน 10 ปีสำหรับรถแต่ละคัน คนที่นี่จึงไม่นิยมที่จะขับรถไปไหนมาไหนกันให้เต็มท้องถนน จนรถติดแบบขยับได้ชั่วโมงละไม่กี่เมตรแบบบ้านเรา
รัฐบาลสิงค์โปร์ออกกฏระเบียบมากมายและยุ่งยากเพื่อทำให้คนของเขาไม่อยากซื้อรถมาขับ
จุดที่น่าสังเกตหลังเดินทางไปสิงคโปร์ 2 ครั้ง คือ ความมีระเบียบของคนที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นการข้ามถนนทางม้าลาย การขับรถตามกฎจราจรที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะหากฝ่าฝืน ต้องโดนโทษปรับอย่างหนัก ไม่มีการติดสินบนกับเจ้าพนักงาน ก็เลยทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศหนึ่งที่มีความปลอดภัยบนท้องถนนสูงมากทีเดียว
มาต่อกันที่ประเทศที่ 2 อย่างประเทศอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ในโซนยุโรปกันบ้างครับ
การจราจรบนนท้องถนนที่เปิดช่องให้รถจักรยานมีเลนส่วนตัวใช้
ระบบการคมนาคมที่นี่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางภายในตัวเมืองด้วยกัน หรือจะเป็นการเดินทางระหว่างเมืองต่างๆ ที่ดูเหมือนจะงงๆ อาจจะหลงเวลาเดินทาง แต่สะดวกสบาย โดยประสบการณ์เดินทางในประเทศอังกฤษที่ผมได้สัมผัสหลักๆ คือ การนั่งรถไฟใต้ดินในลอนดอน และการเช่ารถขับครับ
สำหรับการเช่ารถขับนั้นเป็นการเดินทางที่คนไทยเราชอบใช้ครับ เพราะอยากแวะตรงไหนก็จอด มีอิสระเสรีภาพในการเที่ยวค่อนข้างมากถึงมากที่สุดนั่นเอง ซึ่งถนนในอังกฤษจะแบ่งออกเป็น ถนน M (Motorway) ถนน A และ ถนน B สำหรับถนน M คือ ถนนที่เป็นทางด่วนระหว่างเมือง ห้ามคนเดิน ห้ามปั่นจักรยานชิวๆ และแม้จะขับรถกันเร็ว แต่ก็มีจำกัดความเร็วด้วย นับว่าเป็นถนนที่มีความปลอดภัยสูง ในขณะที่ ถนน A และ ถนน B เป็นเส้นทางเชื่อมเมืองและหมู่บ้าน ถนน A จะมีขนาดใหญ่กว่า B ขับรถได้เร็วกว่า B การจะเช่ารถขับเที่ยวในอังกฤษต้องมีใบขับขี่สากล และต้องจอดในสถานที่ให้จอด จะจอดตามใจอยากไม่ได้นะครับ ซึ่งค่าจอดรถต่อ 1 ชั่วโมงนั้นราคาไม่น้อยเลย ยิ่งถ้าเป็นใจกลางเมืองใหญ่ๆ ก็ยิ่งแพงมหาศาล และลืมเรื่องการลักไก่ไม่จ่ายค่าจอดได้ไปได้เลย เพราะจะมีเจ้าหน้าที่คอยเดินมาเช็คตรวจตราอยู่เสมอครับ ค่าจอดว่าแพงแล้ว ค่าปรับยิ่งแพงกว่าเยอะ
ในเมืองใหญ่ๆอย่างลอนดอน ค่าจอดรถนี่แทบจะเอาไปซื้อรถได้ คนเขาเลยไม่นิยมขับรถกันครับ
ในอังกฤษ มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และคนอังกฤษก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเช่นกัน อย่างตอนที่เช่ารถขับ ถ้ามีป้ายจำกัดความเร็ว คนขับรถก็ชะลอความเร็วตามนั้น ยิ่งใครได้มีโอกาสขับรถในอังกฤษ จะพบกับสิ่งที่เรียกว่าวงเวียน ขับเวียนจนเวียนหัวไปหลายทีเลยก็ว่าได้ แต่ผมสังเกตถึงกฎของที่นี่คือ รถทุกคันรู้หน้าที่ว่าต้องให้รถทางขวาไปก่อนเสมอ สัญญาณไฟเหลืองรถก็ชะลอความเร็วแล้วหยุด ไม่มีเร่งให้พ้นก่อนไฟแดง หรือแม้แต่คนที่จะข้ามถนน แม้จะเห็นว่าไม่มีรถ แต่ถ้าไฟยังขึ้นแดงสำหรับห้ามข้าม ก็คือไม่มีใครข้าม เรื่องมารยาทและวินัยของเค้านี่ผมให้สิบเต็มสิบเลยครับ
และนี่ก็เป็นประสบการณ์อย่างคร่าวๆ ที่ผมได้รับจากการเดินทาง ที่ทำให้รู้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว คนเค้าให้ความสำคัญกับเรื่องระเบียบวินัยมาก และกฎหมายก็บังคับใช้กับทุกคน ไม่มีการติดสินบน ปรับจริง ปรับหนักหมด พอทุกคนเข้าใจบทบาท หน้าที่ ข้อบังคับ และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อุบัติเหตุบนท้องถนนก็เกิดน้อยลงไปด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราคนไทยทุกๆ คน ควรเอาเป็นแบบอย่างครับ
ทีนี้ลองกลับมาดูการจราจรบ้านเรากันบ้าง รถยนต์เป็นยานพาหนะสำหรับคนไทยมานานแสนนาน นำเข้ามาในเมืองไทยครั้งแรกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนในปัจจุบันเรามีรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนนมากกว่า 15 ล้านคันเข้าไปแล้ว จำนวนที่มากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของการเดินทางด้วยวิธีนี้อย่างเห็นได้ชัด ถนนหนทางจึงได้รับการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาอย่างต่อเนื่อง จนอาจถือได้ว่าเรามีเครือข่ายทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท ทางพิเศษหรือมอเตอร์เวย์ที่เรียกได้ว่าครอบคลุมได้เกือบทั่วประเทศมากที่สุดประเทศหนึ่ง และตอนนี้เรากำลังมีสมาชิกใหม่ที่เป็นที่นิยมของกลุ่มผู้รักสุขภาพอย่าง “จักรยาน” มาเป็นเพื่อนร่วมทางอีกด้วย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ระบบถนนหนทางจะได้รับการพัฒนาไปอย่างมากจนทัดเทียมกับประเทศที่ พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ แต่เราก็ยังคงพบเห็นผู้คนที่ทำผิดกฎจราจรอยู่เสมอ เช่น การจอดรถยนต์ในที่ห้ามจอด การจอดรถเป็นระยะเวลานานบนช่องทางซ้ายของถนนทำให้การจราจรภาพรวมเกิดการติดขัด การขับขี่ฝ่าสัญญาณไฟจราจรสีแดง การไม่หยุดรถให้คนเดินข้ามถนนตรงทางม้าลาย หรือแม้แต่การขับรถแซงกันอย่างกระชั้นชิด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ทั้งนั้น ซึ่งเป็นจุดที่พวกเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขและปรับปรุงครับ เพราะความปลอดภัย ของตนเองรวมทั้งผู้อื่นต้องมาก่อนเสมอ
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมไปเห็นโครงการดีๆ จาก Toyota ที่เป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกและวินัยในการขับขี่บนท้องถนน ผ่านกิจกรรม “Campus Challenge 2015” ซึ่งเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาเสนอความคิดสร้างสรรค์เข้ามาประกวด และออกแบบแผนการประชาสัมพันธ์ ในหัวข้อ “สร้างความปลอดภัยบนท้องถนนในรั้วมหาวิทยาลัย” โครงการนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการปลูกฝังวินัยและน้ำใจบนท้องถนน อีกทั้งยังจุดประกายแง่มุมสร้างสรรค์ให้สังคมไทยนั้นแข็งแรงขึ้นด้วยครับ #ขับรถแย่แก้ไม่ยาก #ToyotaCampusChallenge
สำหรับน้องๆ นิสิตนักศึกษาที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.toyota.co.th/campuschallenge2015/
ผมเชื่อว่าหากร่วมมือกัน เมืองไทยจะเป็นประเทศที่ปลอดภัยและน่าอยู่มากเลยครับ
#ขับรถแย่แก้ไม่