“7 วัน ไม่มีวันลืม” บนหลังคาโลกที่ “ปามีร์”

0
3882

ประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงครั้งสุดท้ายของคุณคือเมื่อไร

ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย หรือในโลกแห่งการทำงาน???

หรือว่ามันนานมากจนจำไม่ได้แล้วว่ามันนานแค่ไหนแล้ว

แต่ผมแน่ใจว่าทุกๆคนต้องเคยมีความทรงจำเหล่านี้อยู่อย่างแน่นอน

ในโลกนี้มีสถานที่นับล้านๆแห่ง ถ้าให้เลือกได้ว่าให้ไปมีความทรงจำในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง

ที่มันจะมีครบทุกรสชาติ ทั้ง หวาน เค็ม เผ็ด มันส์ หรือเปรี้ยว

เราจะเลือกพาร่างกายและจิตใจของเราไปที่ไหนกันดี

ถ้าตอนนี้ยังคิดไม่ออก

ลองมาดูพวกเรา หมอสองคน ที่ครั้งนี้หลงทางมาไกล มาอยู่ในดินแดนที่โคตรจะไกลสุดหล้าฟ้าเหลือง

มาเดินเล่นอยู่บนหลังคาโลกอีกแห่งหนึ่งที่นอกเหนือจากทิเบตที่หลายๆคนรู้จัก

แพะภูเขา คนอัฟกัน พายุหิมะ ตำรวจใจร้าย และอะไรต่อมิอะไรอีกนับไม่ถ้วน

มาเจอประสบการณ์หลายๆอย่างที่มันโคตรจะน่าเหลือเชื่อและไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง

และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการเดินทางบนทางหลวงสายปามีร์

ที่นี่คือหนึ่งในดินแดนที่ผมแทบจะเชื่อเลยว่า

คนไทยรู้จักกันน้อยมาก มันคือดินแดนรอยต่อของเทือกเขาหิมาลัยและคาราโครัมที่ยิ่งใหญ่

หนังสือบางเล่มก็ยกให้พื้นที่ตรงบริเวณเป็นอีกหนึ่งส่วนของหลังคาโลกด้วยเช่นกัน

เป็นหนึ่งในสถานที่ๆควรมาก่อนตายจากทุกๆสำนักโพล

ถึงแม้เขาจะบอกกันว่าถนนเส้นนี้เป็นหนึ่งในเส้นทางที่อันตรายที่สุดของโลกก็ตามที

JOE_2832

วันที่  1  : จุดเริ่มต้นคือก้าวที่ศูนย์

จุดเริ่มต้นอยู่ที่เมืองหลวงดูซานเบ (Dushanbe)

บรรยากาศในเมืองหลวงมันก็เหมือนเมืองทั่วๆไป ไม่มีอะไรน่าแปลกใจมาก

แต่ทันทีที่รถวิ่งออกจากเขตเมืองมาเขตบ้านนอก

พระเจ้า ทุกอย่างมันแทบจะกลับตารปัตร

บรรยากาศข้างทางมันก็เหมือนกับมีแรงดึงดูดพิเศษที่ทำให้หนังตาเราถ่างขึ้นโดยไม่รู้ตัว

JOE_2930

วิวระหว่างทางที่ไม่เคยซ้ำกัน

ไกด์บุ๊คทุกเล่มที่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

บอกพวกเราว่า ถนนเส้นนี้เป็นหนึ่งในถนนที่ต้องมาก่อนที่เราจะตาย

7 วันที่ผมใช้ชีวิตอยู่บนถนนสายนี้

บอกได้เลยว่า ไม่เคยมีวันใดที่มีภูมิประเทศซ้ำกันเลยซักวันเดียว

แต่ผมก็ไม่ได้บอกให้คุณเชื่อโดยที่ไม่ได้รับการพิสูจน์อยู่ดีครับ

Kalai khumb resized

ทะเลสาบ ทะเลทราย

พายุทราย พายุหิมะ

ภูเขาหิมะ ภูเขาหินปูน

บรรยากาศข้างทางพร้อมที่จะสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้มาเยือน

พร้อมจะพิสูจน์กันเหรอยัง

ถ้าพร้อมแล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นรถกันเลยครับ

JOE_3002

โค้งนี้โคตรมีความหมายในชีวิตของการเดินทางในวินาทีนั้นอย่างมาก

เพราะอะไรเหรอ

เพราะมันคือโค้งแรกที่ทำให้ผมเห็นประเทศ “อัฟกานิสถาน” แบบเต็มๆตาเป็นครั้งแรกในชีวิต

และนั่นเป็นเหตุผลที่ทรงพลังที่สุดในการดูดผมออกจากเตียงอันแสนสบายในประเทศไทย

ให้มาตกระกำลำบากอยู่แถวๆนี้

WIN_8900-Edit

ภูเขาที่เห็นในภาพตรงนั้น คือประเทศอัฟกานิสถาน

แม่น้ำที่เห็นตรงกลางภาพคือแม่น้ำปามีร์อันเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศ

สะพานข้ามแม่น้ำคือสะพานมิตรภาพเชื่อมคนสองฝั่งแม่น้ำเข้าด้วยกันครับ

อัฟกานิสถานในหัวของผมตอนแรกนั้น

มันไม่ใช่แบบนี้

มันดูสงบไปเหรอป่าว????

JOE_3195

ถนนตอนแรกจะวิ่งบนเขตที่ราบสูงก่อน พอมาถึงเขตเทือกเขาปามีร์

ถนนมันจะค่อยวกไปวนมา ไต่ระดับลงมาที่ช่องเขา อันเป็นพรหมแดนระหว่างประเทศ

และถนนช่วงนี้แหละครับที่มันสวย เพราะมันทั้งโค้ง ทั้งเสียว

จนอะดรีนาลีนมันหลั่งจนเกือบหมด

JOE_3222

วันที่หนึ่งคือวันที่ออกแบบมาให้เราเพื่อปรับตัว ปรับสภาพ เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป

เราจะได้นั่งรถดูวิวบรรยากาศแบบทึมๆ ภายใต้ช่องเขาแห่งนี้ไปตลอดทาง

JOE_3337

จุดแวะพักสำหรับวันแรก

คือหมู่บ้านที่มีชื่อว่า Kalai Khumb

ขนาดหมู่บ้านก็น่าจะราวๆ ตำบล ของประเทศไทยครับ

JOE_3344

การเดินทางบนนถนนสายปามีร์

เราต้องวางแผนที่กิน ที่นอน ที่ขี้ ที่ฉี่ให้เรียบร้อย

เพราะน้ำประปา และไฟฟ้า ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานสำหรับที่นี่

และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวจะมีตั้งอยู่เป็นบางหมู่บ้านเท่านั้นเอง

JOE_3341

อย่าถามหาถึงโรงแรม เพราะมันไม่มี

อย่าถามหาถึงเกสต์เฮาส์ เพราะมันก็ไม่มีเช่นเดียวกัน

มีแต่โฮมสเตย์ชาวบ้านเท่านั้น

ถึงเราจะไปหรือไม่ไป ชาวบ้านเขาก็อยู่กันแบบนี้แหละ

คืนละ 300 บาท ต่อคน ต่อคืน รวมอาหารเย็น ที่เป็นซุปกับขนมปังแบบบ้านๆ

JOE_3357

เด็กชาวทาจิก

หน้าตาออกไปทางแขก นับถือศาสนาอิสลาม

แต่กลับพูดภาษารัสเซียได้คล่องเกือบทุกคน รวมทั้งภาษาทาจิกที่เป็นภาษาประจำชาติ

ซึ่งจะแตกต่างจากเด็กคีร์กิซหรือคาซัคที่หน้าออกจะค่อนไปทางจีนๆผสมรัสเซียซะมากกว่า

JOE_3712

วันที่ 2 : สองอารมณ์บนสองความแตกต่างบนสองฝั่งแม่น้ำ

ถ้าวันแรกมันคือการผจญภัยบนทุ่งหญ้า

วันที่สองนี่ก็คือการผจญภัยในช่องเขา

เขาที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

แต่เป็นเทือกเขาปามีร์กับฮินดูกูซ

DSC_6395-Edit

สิ่งใดที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา

สิ่งนั้นย่อมสวยที่สุดเสมอ

คนที่อยู่แถวนี้ เขาคงไม่จำเป็นต้องเก็บเงินเพื่อไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศ

ในเมื่อสิ่งที่อยู่หน้าบ้านเขามันสวยจนคนจากต่างประเทศต้องจ่ายเงินมาถึงที่นี่ทั้งนั้น

DSC_6358

ถนนต่อจากนี้ไป จะเป็นสายฮาร์ดคอร์ล้วนๆ

พื้นถนนเสมือนดุจดั่งคลื่นทะเลพายุดีเปรสชั่น

เด้งสะเทือนไปมาจนตับด้านขวาแทบจะมาสลับที่กับลำไส้ด้านซ้าย

DSC_6341

อย่าถามหาไหล่ทางเพราะมันไม่มี

แล้วถ้าตกลงไปข้างทางทำอย่างไร

ตัวอย่างมีให้เห็นมากมายระหว่างทาง

ซากรถที่หัวทิ่มปักอยู่ที่พื้นเป็นเครื่องเตือนสติ เตือนใจ ได้เป็นอย่างดี

DSC_6292

เมื่อเดินทางมาถึงช่วงนี้ จะมีหมู่บ้านของชาวอัฟกันโผล่ขึ้นมามากมายครับ

“อัฟกานิสถาน” เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมผมถึงอยากมาที่นี่

ด้วยความที่จุดที่ผมยืนอยู่กับฝั่งประเทศอัฟกานิสถานมันใกล้จนแทบจะเอื้อมมือไปจับมือกันได้อยู่แล้ว

แต่ไม่สามารถพาตัวเองข้ามไปได้

เราก็เลยนั่งมองคนอัฟกันว่าเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร

ข่าวลบๆ ข่าวร้ายๆ ที่เห็นๆกันในทีวี มันอยู่ตรงไหน มันจริงแค่ไหน ไปเห็นด้วยตาตนเองกันดีกว่า

DSC_6288

แต่แบบว่า ต้องร้องว่า เห้ยยยย

นี่ตรูมายืนถูกทิศแน่นะ ข้างหน้านี่มันอัฟกานิสถานจริงๆเหรอ

ไอต้นสีออกชมพูนั่นมาซากุระหรือพญาเสือโคร่งกันแน่

แล้วไหนละปืน ไหนละสงคราม

เบื้องหน้าที่ผมเห็นมีแต่ความเงียบสงบ

DSC_6286

บ้านทุกหลังทำขึ้นจากดินแล้วก็ไปทาสี บางหลังขี้เกียจทาก็ปล่อยให้เป็นเอิร์ทโทนไป

แถมมีสนามหญ้าหน้าบ้านให้ลูกวิ่งเล่นอีกอีก

ผมคนไทยทำงานแทบตายยังไม่ได้บ้านมีบริเวณ ที่ด้านหน้ามีแม่น้ำ ด้านหลังมีภูเขาหิมะแบบนี้เลยครับ

DSC_6281

ผมคงไปตอบแทนไม่ได้ว่าอยู่แบบนี้มีความสุขดีเหรอเปล่า

DSC_6270

หน้าบ้านมีสนามหญ้าแบบนี้

ไปรวมทีมมาให้ครบ ก็พร้อมจะเตะฟุตบอลกันแล้วครับ

DSC_6203

ทำไร่ ทำนา ทำปศุสัตว์ ว่ากันไปตามเรื่อง

ถ้าพูดถึงสภาพอากาศที่เมืองไทย ผมว่าบ้านเราชิดซ้ายไปเลยครับ

ที่นี้แร้นแค้นกว่าหลายเท่านัก

วิถีชีวิตทุกอย่างขึ้นกับสิ่งที่ธรรมชาติจะส่งลงมาให้ ไม่มีชลประทานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆในการดำเนินชีวิตเลยแม้แต่อย่างเดียว

DSC_6237

การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติเป็นสิ่งปกติของที่นี่

DSC_6267

ภาพที่ชาวอัฟกันกำลังเดินถือของอยู่บนทางเดินริมเขาเป็นอะไรที่คุ้นตาอย่างมาก

DSC_6187

แต่จริงๆแล้วถ้ามาดูกันตามข้อมูลนี้

ประเทศทาจิกิสถาน นี่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่รายได้น้อยมาก

แต่พอมาเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอัฟกานิสถานแล้ว กลับดูเหมือนกลายเป็นประเทศเจริญแล้วไปเลย

JOE_3695

เวลาคนเราจะทำอะไรเราต้องหาแรงบันดาลใจของเราให้เจอ

และการใช้ชีวิตบนถนนสายนี้ผมคิดว่ามันน่าจะให้อะไรกับคนที่มาถึงไม่มากก็น้อย

JOE_3667

ถามว่าสบายไหม ถ้าจะมาเที่ยวที่ถนนสายนี้

ถ้าร่างกายแข็งแรง ทนทาน ทนต่อความลำบากได้เป็นอย่างดี

มาเลยครับ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ยังไม่ถูกบันทึกรอคุณอยู่ที่นี่

JOE_3664

มีถนนเพียงไม่กี่เส้น ไม่กี่สายในโลกใบนี้

ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวคุณได้

และปามีร์ไฮเวย์เป็นหนึ่งในนั้น

JOE_3650

เส้นทางสายปามีร์จริงๆแล้ว ก่อนที่มันจะกลายร่างมาเป็นถนนให้รถวิ่ง

มันเป็นทางคนเดินมาก่อน เราแค่มาสร้างถนนทับทางเท้าเดิมแค่นั้น

มาร์โค โปโล ก็เดินทางมาถึงที่นี่เช่นกัน ในช่วงที่เขาเดินทางผ่านเอเชียกลางเพื่อเข้าสู่ประเทศจีน

ของฝั่งทาจิกิสถานกลายเป็นถนนไปแล้ว แต่ขอฝั่งอัฟกานิสถานยังคงสภาพไว้เหมือนเดิม

JOE_3647

มันน่าเหลือเชื่อตรงที่ว่า

ในเมื่อคนสมัยโบราณที่เดินอย่างยากลำบากเขายังทำได้

แต่เราอยู่บนรถที่วิ่งด้วยพลังงานน้ำมันกลับบอกว่าลำบาก

JOE_3640

ระยะห่างระหว่างสองประเทศนี้มันใกล้มากจริงๆครับ

คลองหน้าบ้านผมยังดูกว้างกว่านี้เลย

จะข้ามไปมาคงไม่มีใครว่าถ้าไม่มีคนเห็น

ผมคิดอย่างนั้นนะ

JOE_3625

“อัฟกานิสถาน”

กับเรื่องที่ผมไม่เคยรู้
ถึงแม้ประเทศอัฟกานิสถานจะดูอันตรายและแสนจะวุ่นวายในสายตาชาวโลก
แต่รู้ไหมครับว่ามีดินแดนแห่งหนึ่งในประเทศนี้ที่แทบ “ไม่เคย” ได้รับผลกระทบของการปกครองในยุคของตาลีบัน หรือยุคหลังตาลีบันเลย

JOE_3628

อัฟกานิสถาน จริงๆแล้วไม่ได้วุ่นวาย ฝุ่นตลบกันทั้งประเทศอย่างที่เราเข้าใจกัน

เวลาเราเห็นจากภาพข่าว เหตุการณ์ที่เกิดมักเกิดที่ตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ

แต่มีอยู่ส่วนหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศอัฟกานิสถานที่ยื่นออกไปจูบปากกับประเทศจีน

แบ่งเอเชียกลางและเอเชียใต้ออกจากกัน เรียกว่า “Wakhan corridor” หรือหุบเขาวาคันด์

ที่สงบสุข ไม่วุ่นวาย และปราศจากความตึงเครียด

แบบว่าต่อให้เมืองอื่นจะถล่มกันเล๊ะตุ้มเป๊ะขนาดไหน ที่นี่ก็ยังคงชิวๆกันต่อไป

JOE_3610

ถามว่าทำไมถึงไม่ได้รับผลกระทบ ???
คำตอบคือ แผ่นดินตรงนี้เป็นภูเขาสูงมากยากต่อการเดินทาง ถนนที่มีสำหรับคนไทยอาจจะไม่เรียกถนนก็ได้ แม้กระทั่งคนท้องถิ่นยังต้องเดินเท้า ขี่ลา ขี่ม้า ขี่จามรีกันอยู่เลยครับ แล้วใครมันจะพาทหารมาถึงที่นี่

JOE_3608

เพื่อนร่วมทางที่ต้องร่วมทาง

ตอนบ้านพักตอนเช้าที่ Kalai Khumb

คนขับรถผมเดินเข้ามาบอกผมด้วยสีหน้าที่เหมือนกับคนท้องผูกมาหลายวัน

“วันนี้จะขอมีทหารติดรถไปยังเมือง Khorugh ที่เป็นจุดหมายของผม

ไม่มีคำว่าปฏิเสธ เพราะยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธ หัวหน้าหน่วยทหารคนนั้น

ก็มาเปิดประตูเพื่อจะให้พลทหารคนนั้นขึ้นรถไปคันเดียวกับผมแล้ว

มีทหารมาอยู่เป็นเพื่อนตลอดทาง ฟินสุดๆ แต่คิดในแง่ดี พวกด่านตรวจต่างๆคงเลิกสนใจผมไปเยอะ

JOE_3591

คนที่ไม่เคยเห็นทะเล

ผมถามคนหลายๆคนที่นี่ที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้ ว่า “คุณเคยเห็นทะเลไหม???”

คำตอบที่ได้มากกว่า 99% คือ ไม่เคยเห็น และบางคนไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าทะเลคืออะไร

เขารู้จักแต่พายุหิมะ พายุทราย และน้ำหลากเท่านั้นเอง

ยิ่งพอโชว์รูปทะเลสีน้ำเงินบวกกับท้องฟ้าสีครามที่อยู่ในมือถือของผมให้เขาดู

เขาแทบช็อคด้วยความที่ไม่เชื่อว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในโลกของเขาด้วยเหรอ

JOE_3513

มาแถวนี้ ต้องกลัวตาลีบัน เหรอไม่

ปรอทวัดความกลัวของแต่ละคนไม่เท่ากัน

การมีความเสี่ยงเล็กน้อย ในความคิดของคนบางคนมันคือความคุ้มค่าที่จะได้มา

JOE_3453

ในขณะที่อีกคนอาจไม่คิดเช่นนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดอย่างไร

คล้ายๆกับเรากำลังทำตัวเป็นของเหลว

เลือกเอาว่าจะเป็นของเหลวชนิดไหน

ใครเลือกเป็นปรอทก็จุดอดทน ความถึกสูงกว่าใครเพื่อน

DSC_6436

ช่วงเวลากว่า 8 ชั่วโมง กับระยะทางไม่เกือบๆ 200 กิโลเมตร

ที่มีแค่ 2 โค้งคือ

โค้งซ้าย กับ โค้งขวา

DSC_6446-Edit

ที่ไม่ใช่พาตาโกเนีย ไม่ใช่ทิเบต ไม่ใช่เนปาล

แต่มันคือ ทาจิกิสถาน

JOE_3745

หลังจากเด้งกันจนได้ที่ยังกับมาริโอ้เก็บเห็ด

ในที่สุดเราก็มาถึงเมือง Khorog

ประเทศทาจิกิสถาน แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วน

  1. ส่วนหลักก็คือพื้นที่ทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือเขตปามีร์ เมืองหลวง Dushanbe เมืองเศรษฐกิจ Khujand ผู้คนส่วนใหญ่ก็อยู่ตรงนั้นกัน
  2. อีกส่วนเป็นเขตปกครองตนเอง เรียกว่า Gorno-Badakshan ซึ่งมีเขตปกครองย่อยๆอยู่อีก แต่มีเมืองหลักเมืองเดียวคือเมือง  Khorog แห่งนี้

JOE_3751

แถวนี้เกือบจะเรียกได้ว่าปราศจากโรงงานอุตสาหกรรม

น้ำแทบทุกหยดที่ไหลผ่านมาจากธารน้ำแข็งบนภูเขาทั้งสิ้น

JOE_3755

Khorog เป็นเพียงเมืองเดียวในเขตปามีร์

ที่มีสถานที่ราชการ สถานศึกษา ธนาคาร และร้านรับแลกเงิน

หลังจากนี้ไป ถ้าจะเดินทางไกล ต้องเตรียมตัวให้พร้อม คนท้องถิ่นบอกผมมาแบบนั้น

JOE_3758

พราะนอกเหนือจากเมืองนี้ไปแล้ว

จะมีเพียงแค่หมู้บ้านที่ “ไม่มีน้ำประปาใช้ 100%” และไฟฟ้าที่มีก็ “ติดๆดับๆอยู่เสมอ”

เพราะฉะนั้นจะตุนอะไรก็ตุนครับ แม้แต่เงินที่ต้องเตรียมมาให้พร้อม ไม่มี ATM อีกแล้ว หลังจากนี้

ผมจึงใช้เวลาในคืนที่สองพักผ่อนอยู่ที่เมืองแห่งนี้

JOE_3817

ออกจาก Khorugh มา

ทางจะแยกออกเป็น 2 ส่วน

  1. ทางหลวงสายดั้งเดิม อันนี้จะวิ่งผ่าเข้าใจกลางเทือกเขาปามีร์ แล้วเข้าสู่เขตหลังเขา ระยะทางสั้นกว่า อันนี้คือแบบ original
  2. ทางสายอ้อม วิ่งเลาะตามโตรกเขาเลียบแม่น้ำปามีร์ขนานไปกับพรมแดนอัฟกานิสถานก่อนจะไปบรรจบกับทางสายหลัก แต่อ้อมและสภาพถนนย่ำแย่กว่ามาก แต่สิ่งที่ได้ย่อมคุ้มค่าตามสิ่งที่ลงทุนเสมอ

และก็แน่นอน เราเลือกอย่างหลัง

JOE_3777

วันที่ 3 : จับมือ ทักทาย ถ่ายรูป กับคนจากอัฟกานิสถาน

บางเวลา เราอยู่ในที่ๆสบายเกินไปจนคิดว่าตัวเองลำบาก

แต่จริงๆยังมีคนอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่มีชีวิตลำบากกว่าเราแน่นอนครับ

คนฝั่งอัฟกานิสถานเขาเดินกันแบบนี้ทั้งนั้น

ในเมื่อไม่มีถนนให้รถวิ่ง การเดินทางด้วยสองเท้าจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

JOE_3795

Afghan 1st time.
ที่ประเทศทาจิกิสถาน ตรงบริเวณพรมแดนรอยต่อกับประเทศอัฟกานิสถาน

จะมีหมู่บ้านเล็กๆอยู่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า “Iskhashim” ซึ่งทุกๆวันเสาร์

ทางทหารของทั้งสองประเทศจะอนุญาตให้คนทาจิกและอัฟกันข้ามมายังเกาะที่อยู่ตรงกลางแม่น้ำที่เป็นพรมแดนระหว่างสองประเทศนี้ให้ทำการค้าขายกันได้

โดยที่ไม่ต้องทำวีซ่าใดๆ และแถมยังใจดีเหลือล้นเผยแพร่ส่วนบุญอันนี้มายังนักท่องเที่ยวอย่างผมอีกด้วย

เราเลยได้ไปเดินจับจ่ายใช้สอยในตลาดของคนอัฟกานิสถานไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

และโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ยังได้สิทธิพิเศษข้ามพรมแดนไปโดยที่ไม่ต้องใช้วีซ่าประเทศอัฟกานิสถานอีกด้วย

DSC_6460

ที่เห็นนั่นเป็นจุดผ่านแดนถาวร เห็นธงชาติอัฟกานิสถานสีดำแดงเขียวนั่นป่าวครับ

กลุ่มคนที่เห็นยืนออกันตรงอาคารก็คือกลุ่มพ่อค้าที่กำลังจะทำเรื่องผ่านแดนมาค้าขายกันที่ตลาดสองแผ่นดินแห่งนี้

JOE_3865

ก่อนจะข้ามสะพานจากฝั่งทาจิกิสถานไปยังดินแดนเกาะกลางแม่น้ำหรือ No man land

จะต้องผ่านการตรวจจากทหารที่ยืนถือปืนสร้างความหวาดเสียวเล็กน้อย

พร้อมกับเราต้องมอบพาสปอร์ตตัวจริงเป็นหลักประกันให้แก่เขาเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราจะไม่ไปโรบินฮู๊ดกันที่อัฟกานิสถาน (เป็นคนดีจริงๆ ห่วงนักท่องเที่ยวขนาดนี้)

จริงๆแล้วการมอบหนังสือเดินทางตัวจริงให้คนอื่นเก็บถือว่าผิดหลักการเดินทางมากเลยนะครับ ยิ่งประเทศแบบนี้เกิดทหารทำเล่นเอาของเราไปซ่อนหรือแกล้งทำเป็นลืมขึ้นมา บอกได้คำเดียวว่างานเข้า

JOE_3853

นี่เป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้พูดคุยกับคนอัฟกัน

คนอัฟกันที่นี่อัธยาศัยดีมากตามแบบฉบับของเขา

และก็เป็นธรรมดาที่ภาษาที่เขาพูดได้ก็คือภาษาที่ผมไม่เข้าใจ

และภาษาที่ผมเข้าใจเขาก็ไม่รู้ เราก็เลยคุยกันแบบไม่รู้เรื่อง 99.99% เหมือนที่ผ่านๆมา

แต่ถึงยังงั้นก็เถอะครับ หน้าตาอย่างพวกเราคือของแปลกของคนที่นี่มาก

พวกเขามักจะไล่เดาสัญชาติของผม จาก ญี่ปุ่น เกาหลี และจบที่จีนทุกครั้งไป

แต่พอเราบอกคนไทยเท่านั้นแหละ ทำหน้างงกันไปเลยทีเดียวครับ

อีกอย่างคนที่นี่ก็ชอบถ่ายรูปเหมือนคนตามเอเชียกลางทั่วไปครับ บางคนหน้าตาแม้จะดูโหดเหี้ยมแต่ที่ไหนได้อัธยาศัยกลับดีเหลือเชื่อซะอีก

สังเกตจากหมวกที่ใส่ครับ แบบนี้เขาเรียกว่าหมวกของอัฟกันมันจะกลมๆแบบนี้ เห็นใครใส่หมวกนี้อยู่บนหัว ไปลุยได้เลยครับ

JOE_3871

คนอัฟกันที่นี่อัธยาศัยดีมากตามแบบฉบับของเขา

และก็เป็นธรรมดาที่ภาษาที่เขาพูดได้ก็คือภาษาที่ผมไม่เข้าใจ

และภาษาที่ผมเข้าใจเขาก็ไม่รู้ เราก็เลยคุยกันแบบไม่รู้เรื่อง 99.99% เหมือนที่ผ่านๆมา

แต่ถึงยังงั้นก็เถอะครับ หน้าตาอย่างพวกเราคือของแปลกของคนที่นี่มาก

พวกเขามักจะไล่เดาสัญชาติของผม จาก ญี่ปุ่น เกาหลี และจบที่จีนทุกครั้งไป

แต่พอเราบอกคนไทยเท่านั้นแหละ ทำหน้างงกันไปเลยทีเดียวครับ

อีกอย่างคนที่นี่ก็ชอบถ่ายรูปเหมือนคนตามเอเชียกลางทั่วไปครับ บางคนหน้าตาแม้จะดูโหดเหี้ยมแต่ที่ไหนได้อัธยาศัยกลับดีเหลือเชื่อซะอีก

JOE_3872

ตลาดนัดที่นี่แม้จะเล็กมาก มีศาลากันลมกันฝนตรงกลางลานที่ชาติยุโรปมาสร้างให้

แต่ลานรอบนอกคือบรรยากาศแห่งบาซาร์ขนานแท้

JOE_3867

ของที่ขายส่วนใหญ่ เห็นแล้วเหลือเชื่อ

ของส่วนที่คนทาจิกเอามาขาย คือของที่นำเข้าจากรัสเซีย คาซัคสถาน หรือจีนเป็นหลัก มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ

ส่วนของที่คนอัฟกันเอามาขาย เกือบทั้งหมดนำมาจากปากีสถานครับ น้ำผลไม้นี่มาจากปากีสถานล้วนๆ

ตลาดแห่งนี้มันเลยโคตรมีสีสรรมากๆเลยครับ

ต้องถ่ายรูปแบบแอบๆตามเคย มุมก็เลยปิดๆนิ๊ดนึง

WIN_0240

ผมใช้เวลาที่นี่อยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงได้

ถึงแม้ทหารของทั้งสองประเทศจะเดินตรวจตราไปมาจำนวนพอๆกับพ่อค้าที่นี่เลยก็ตามที แต่ทุกอย่างก็ราบรื่นได้ตั้งแต่จนยันเกือบตอนจบ…
มีตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่งเข้ามาประชิดตัวกับพวกเรา พร้อมกับบอกว่า “No photo” แล้วก็พ่นภาษารัสเซียมาเป็นชุดอย่างกับรัวปืนกลใส่ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ เพราะที่ผ่านมาเจอตำรวจปลอมลักษณะนี้มาตลอดทาง ก็เลยยืนทำหน้างงๆใส่เขา
นายตำรวจนี้เลยอารมณ์เสียเมื่อเห็นผมดูจะไม่เชื่อ โทรไปเรียกเพื่อนมาอีกเป็นกองทัพ ยืนล้อมเราสองคนกันกลางตลาด อันนี้ผมชัวร์แล้วละว่าของจริงแน่นอน จึงบอกเขาไปด้วยภาษาอังกฤษว่าผมถ่ายรูปคนกับตลาด แล้วก็ขอเขาทุกครั้งไปที่จะถ่ายรูป แถมไม่ได้ไปถ่ายติดทหารหรือตำรวจเลยซักกะติ๊ดเดียว แล้วก็เปิดรูปที่อยู่ในกล้องให้เหล่ากองทัพโปลิสพิสูจน์
แต่ด้วยความที่คุยกันไม่รู้เรื่องเลยซักนิด พวกเราก็เลยโดนอัญเชิญไปยังสำนักงานใหญ่ที่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้มากกว่านิดนึง จนสุดท้ายก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่องอยู่ดี ตำรวจยืนยันคำเดียวว่าให้ลบรูปทั้งหมดออก แม้กระทั่งรูปซองขนมที่ซื้อมาก็ยังต้องลบ ผมนี่งงไปเลยครับ ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงเมื่อผมทำตามที่เขาต้องการ
กลับมาที่คอมพิวเตอร์ ผมใส่ SD Card เปิดโปรแกรม recovery กดปุ่มเดียว ไฟล์กลับมาหมดเลยครับ ผมนี่งงเป็นครั้งที่สอง

JOE_3938

แล้วหลังจากนั้น ฝนก็ถล่มช่วงเวลาดีๆในตลาดสองแผ่นดินไปจนเปียกโชก

ไม่มีทางอื่นนอกจากจะหลบฝน แต่ดูท่าทางแล้วไม่หยุดง่ายๆ จึงเดินทางต่อไปยังหมู่บ้าน Iskhashim ที่อยู่ห่างจากตลาดๆราว 2-3 กิโลเมตรได้

JOE_3924

คนที่นี่ชอบถ่ายรูป

ยิ่งโดยเฉพาะเด็กๆแล้ว นี่เกือบจะว่าทุกเลยก็ว่าได้

การถือกล้องตัวใหญ่ๆไปมันคือความน่าตื่นเต้นของน้องๆ ที่มักจะคิดว่าผมเป็นช่างภาพมืออาชีพ

แล้วยิ่งบอกว่าจะได้ไปออกทีวีด้วย นี่แบบว่าเก๊กหล่อกันเต็มที่

โตขึ้นไป ดูมีแววนะน้อง

JOE_3916

ส่วนเด็กสาวสองคนนี้ก็แล่บลิ้นให้ผมตามประสาเด็กเมื่อวานซืน

อย่าถามครับว่าคุยกันรู้เรื่องเหรอ

ก็ลองคิดถึงตอนที่เราเด็กๆดูซิ เราเคยพูดกับเด็กรู้เรื่องเหรอ ต่อให้เป็นเด็กไทยก็เถอะนะ

ของแบบนี้มันต้องใช้การหลอกล่อเป็นหลัก เอาเทคนิคหลอกเด็กเข้าสู้

JOE_3913

“ซาลาม อะลัยกุม” ผมกล่าวทักทายไปยังเด็กน้อยอายุประมาณ 1 ใน 6 ของตัวผม

ไม่มีสัญญาณตอบรับมา มีเพียงแต่รอยอมยิ้มที่อยู่ที่ริมฝีปากของเจ้าหนู

ผมจึงเดินเข้าไปหาเจ้าหนู พร้อมกับนั่งยองๆเพื่อให้ความสูงพอดีกัน ล้วงไปในกระเป๋าหยิบช็อคโกแลต 1 อันที่เก็บเอาไว้กินเวลาเกิดอาการน้ำตาลต่ำออกมา แล้วยื่นออกไปให้เจ้าหนูทั้งสอง

เด็กน้อยรับอย่างเขินอาย เจ้าคนพี่จึงหยิบไปแกะออกแล้วเอาฟันกัดออกเป็นสองอันเล็ก แล้วยื่นให้เจ้าตัวเล็กกินด้วย แบ่งกันคนละครึ่งพอดิบพอดี

JOE_3906

เท่านั้นแหละครับ คงเป็นเพราะช็อคโกแลตผมอร่อยมั๊ง เด็กสาวสองคนนี้ได้กลายร่างมาเป็นนางแบบตัวน้อยให้ผมอย่างเหลือเชื่อ จะให้โพสต์ท่าไหน ยิ้มแค่ไหน สั่งได้หมด แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่องซักคำ

หลังจากถ่ายรูปกันจนหนำใจ ผมยื่นนิ้วก้อยให้เจ้าหนูทั้งสอง เจ้าหนูยื่นนิ้วก้อยกลับมา ผมก็เลยเอานิ้วของผมไปคล้องกับนิ้วของเธอ เป็นอันว่า

“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ เอาไว้เจอกันใหม่ตอนน้องโตขึ้นละกัน”

ผมคิดว่าเจ้าหนูสองคนนี้ไม่เข้าใจหรอกครับว่าสิ่งที่ผมได้รับในวันนั้นมามันทำให้ผมรู้สึกว่าโลกใบนี้มันน่าอยู่มากขึ้นกว่าที่ผมเคยคิดว่าน่าอยู่มากอยู่แล้วซะอีกครับ

JOE_3894

ก่อนจะจากกัน ผมสอนน้องทั้งสองทำท่าแฟนพันธ์ุแท้ก่อน

เจ้าคนพี่ดูจะเข้าใจและทำตามได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนเจ้าตัวเล็กดูจะงงกับมือตัวเองไม่น้อย เลยเป็นอย่างที่เห็น 555

ลาก่อยยยยยยยย

JOE_3931

วันที่สาม ยังไม่ถึงครึ่งทาง แต่อิ่มประสบการณ์ไปพอตัว

ผมใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของวัน ยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำเปียจ์ที่ไหลอย่างสงบหนึ่งดุจน้ำนิ่งไหลลึก

เราสองคนยืนปลดทุกข์กัน เอ้ย ปรับทุกข์

พูดถึงความรู้สึก และอารมณ์ในเวลานั้นที่หลงทางมาได้ไกลถึงเพียงนี้

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอรับการบอกเล่า

รอพบกันต่อในตอนที่ 2 นะครับ

ที่นี่ เร็วๆนี้

Cover1

 

 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.