ถ้าเราพูดถึง “เปรู” หลายคนอาจจะนึกชื่อประเทศนี้ไม่ออกว่าตั้งอยู่ที่ใด แต่พอบอกว่า “มาชูพิคชู” หลายคนอาจจะร้องอ๋อทันที เพราะสถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันที่ดึงดูดผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกเดินทางมายังหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ของอดีตอารยธรรมชาวอินคาที่ตั้งอยู่ในประเทศเปรู วันนี้ผมจะขอแนะนำให้ท่านได้รู้จักกับประเทศเปรูว่ามันมีความน่าสนใจอย่างไรบ้างนะครับ

การเดินทาง

ทราบไหมครับ ประเทศไหนอยู่ห่างจากประเทศไทยมากที่สุด

คำตอบคือ เปรู ครับ อยู่ห่างจากเมืองไทย 19,676 กิโลเมตร (ระยะทางกรุงเทพ – เบตง คือ 1,166 กม. เท่ากับขับรถไปกลับเบตงประมาณ 8.5 รอบ) ทำให้เปรูอยู่ใน time zone GMT -7 อยู่ห่างจากเมืองไทย 12 ชั่วโมงพอดี ถ้าบ้านเราเที่ยงวัน เปรูคือเที่ยงคืน การเดินทางไปเปรู ที่ใช้เวลาสั้นที่สุดตอนนี้คือ สายการบิน KLM บินไฟลต์แรกจากกรุงเทพไปที่อัมสเตอร์ดัม ใช้เวลา 12 ชั่วโมง 40 นาที หลังจากนั้นพักเปลี่ยนเครื่อง 6 ชั่วโมง และต่อด้วย KLM เหมือนเดิม ใช้เวลาอีก 12 ชั่วโมง 40 นาที

รวมใช้เวลาทั้งสิ้นสำหรับระยะเวลาการบินที่สั้นที่สุดในการมาเปรู คือ 31 ชั่วโมง 20 นาที เวลาสำหรับการเดินทางขากลับก็เช่นเดียวกัน ทำให้การเดินทางไป / เดินทางกลับ ใช้วลาไป 62 ชั่วโมง 40 นาที นั่นคือ เกือบจะถึง 3 วันเข้าไปแล้ว

การเดินทางภายในประเทศ

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่หลากหลายตั้งแต่ทะเลทราย ภูเขาสูงเสียดฟ้า และป่าดงดิบแห่งลุ่มน้ำแอมะซอน ทำให้การเดินทางท่องเที่ยววิธีที่ง่ายที่สุดคือ การใช้ไฟลต์บินภายในประเทศ ควบคู่ไปกับรถยนต์ในแต่ละจุด โดยเส้นทางบินที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวคือ เมืองอิคิโตส (Iquitos) ศูนย์กลางของแอมะซอน และ เมืองคุสโก (Cusco) ประตูสู่มาชูพิคชู

อาการแพ้ความสูง (Mountain sickness)

เมืองไทยเราไม่มีพื้นที่สูง ดังนั้นอาการแพ้ความสูงจึงเป็นโรคที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย หรือไม่เคยได้ยิน แต่การเดินทางมาเปรูโดยเฉพาะที่เมืองคุสโก ที่มีความสูงเกือบ 3,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โอกาสที่คนไทยเราจะมีอาการป่วยในช่วง 1-2 วันแรกนั้น ถือว่ามีความเป็นไปได้พอสมควร วิธีการป้องกันคือ การรับประทานยาที่ช่วยทำให้ร่างกายปรับตัวได้เร็วขึ้น การยอมเสียเวลามากขึ้นด้วยการนั่งรถยนต์มาแทนที่จะใช้การบิน หรือการออกแบบแผนการเดินทางที่เหมาะสม ทั้งหมดนี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้ โดยสามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้าน Travel medicine เพื่อขอคำแนะนำได้โดยตรง

สภาพอากาศ

เปรู จะแบ่งสภาพอากาศออกเป็น 2 บริเวณ คือ บริเวณเขตภูเขาเมืองคุสโก และ บริเวณแอมะซอน

  • คุสโก – มาชูพิคชู ช่วงเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม ถือว่าเป็นฤดูร้อน (ปริมาณฝนไม่มาก) อุณหภูมิช่วงกลางวันจะอยู่ที่ประมาณ 20 – 25 องศาเซลเซียส ในขณะที่กลางคืนจะอยู่ที่ 6 – 10 องศา
  • แอมะซอน ถือว่าเป็นป่าฝนเขตร้อน มีโอกาสเกิดฝนตกได้ทุกวัน สภาพอากาศโดยรวมคล้ายเมืองไทย โดยฤดูร้อนคือช่วงระหว่างเดือน พฤษภาคม – ตุลาคม อุณหภูมิโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 30 – 35 องศาเซลเซียส ในขณะที่เดือนพฤศจิกายน – เมษายน ของทุกปีถือว่าเป็นฤดูฝน แต่ฝนที่นี่จะตกเป็นช่วงๆ

วีซ่า

เปรู หนังสือเดินทางประเทศไทย สามารถเข้าประเทศได้ 90 วัน โดยไม่ต้องทำวีซ่า

โทรศัพท์และสัญญาณอินเตอร์เน็ต

AIS แพ็กเสริมเน็ตต่างประเทศ Ready2Fly ระยะเวล 15 วัน ใช้เน็ตได้ 7 GB หรือใช้เป็น Sim2Fly  สำหรับเครือข่ายของ True ตัว Roaming จะครอบคลุมเฉพาะส่วนของเปรู แนะนำใช้ซิมจากเมืองไทยจะสะดวกกว่าการซื้อซิมท้องถิ่นใช้

การแลกเงิน

เปรู สกุลเงินท้องถิ่นคือ โซล (Sol) มีธนบัตรขนาด 10,20,50,100,200 (และมีเหรียญขนาด 1,2,5,10,20,50) โดยค่าแลกเปลี่ยน 1 USD จะได้ประมาณ 4 Sol หรือเท่ากับ 1 Sol จะประมาณ 10 บาท ในเขตเมือง ร้านอาหาร โรงแรม สามารถใช้บัตรเครดิตหรือเงินสดที่เป็น USD และ Sol ได้ แต่การจ่ายด้วย Sol จะได้เรทแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า สำหรับการซื้อของในตลาดทั่วไป แนะนำใช้ Sol จะได้เรทแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าครับ ข้อแนะนำคือ ถือเงิน USD ไป และนำไปแลกเป็น Sol เพื่อใช้ในแต่ละวั นอกจากนี้ยังสามารถใช้ตู้ ATM ได้ทั้งสองประเทศ โดยจะใช้ได้กับตู้ที่มีเครื่องหมาย Mastercard, Maestro or Cirrus ATM แต่ค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนจะสู้กับการแลกเงินสด USD ไม่ได้

อาหารการกิน

อาหารเปรูได้รับวัฒนธรรมทางอาหารจากคนญี่ปุ่นและคนจีนจำนวนมากเข้ามาอยู่ในประเทศตั้งแต่ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาหารบางชนิดจึงหน้าตาไม่ต่างจากโซนเอเชียมากนัก เช่น

  • Anticuchos (อันติกูโชส) เครื่องในจานเสียบไม้ปิ้งย่าง เสิร์ฟกับมันฝรั่งหรือข้าวโพดต้ม และซอสพริก
  • Ceviche (เซบีเช) เนื้อปลาสด น้ำมะนาว และสมุนไพรต่างๆ
  • Tiraditos (ทีราดิโตส) ปลาดิบ
  •  Causas (เกาซาส์) คำนี้หมายถึง มันฝรั่งบด

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ

  • เมืองอิกิโตส (Iquitos) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในป่าฝนของประเทศเปรู เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวป่าอเมซอน โดยที่เมืองอิกิโตสเป็นเมืองที่เริ่มต้นตั้งถิ่นฐานขึ้นในศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการค้นพบต้นยางพาราในบริเวณนั้น ท่านจะได้ชื่นชมกับสถาปัตยกรรมบ้านเรือที่ทำจากโมเสกและระเบียงสไตล์ยุโรป ที่ได้รับอิทธิผลมาจากชาติตะวันตก โดยเราจะได้ล่องแม่น้ำแอมะซอนไปพบยังชนเผ่าต่างๆ ให้ชาวบ้านพาไปตกปลาปิรันยา เดินป่าชมสัตว์ท้องถิ่นเช่น จระเข้เคย์แมน
  • หมู่บ้านโอลานเทย์ทัมโบ (Ollantaytambo) สถานที่ที่มีโครงสร้างตึกซับซ้อนมากมายของอณาจักรอินคา หมู่บ้านโอลานเทย์ทัมโบเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในการทำนาขั้นบันไดและเป็นเมืองป้อมปราการที่ดี แถมยังเป็นศูนย์กลางทางศาสนา หมู่บ้านโอลานเทย์ทัมโบ เป็นเมืองแห่งเดียวของชาวอินคาที่ยังมีคนอาศัยอยู่และยังเป็นตัวอย่างการวังแผนผังเมืองที่ดีของชาวอินคา ถนนที่ปูด้วยหินนั้นมีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 และยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน
  • มาชูปิกชู (Machu Picchu) เมืองที่สาบสูญแห่งอาณาจักรอินคา หนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ สถาปัตยกรรมของชาวอินคาที่ถูกล้อมรอบด้วยป่าเมฆที่เขียวชอุ่มที่ ระดับความสูงกว่า 2,400 เมตรเหนือระดับนํ้าทะเล ซึ่งเพิ่งถูกค้นพบ โดยนักสํารวจชาวอเมริกันที่ชื่อว่า Hiram Bingham เมื่อปี ค.ศ. 1911 มาชูปิกชู ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สุดยอดของโลก ด้วยการนำหินขนาดใหญ่มาสร้างเป็นบ้านเรือนและวิหารต่อขึ้นไปโดยที่ไม่มีการใช้ปูนหรือสลักในการเชื่อมต่อหินแต่ละก้อน และบ้านเรือนและวิหารเหล่านี้ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
  • ฮวานน่าปิกชู (Huayna Picchu) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ “young mountain” โดยที่ด้านบนฮวานน่าปิกชู จะมี Temple of the Moon  และเป็นจุดที่ท่านสามารถมองเห็นมาชูปิกชูได้ทั้งเมือง
  • มาราซ (Maras) เหมืองเกลือที่มีมาตั้งแต่สมัยอินคาและเป็นเหมืองเกลือที่ผลิตเกลือคุณภาพดีที่สุดในโลก และถูกนำไปใช้โดยเชพทั่วทุกมุมโลก
  • โมเรย์ (Moray) นาขั้นบนไดวงกลมขนาดใหญ่ที่ชาวอินคาทำไว้เพื่อทดลองปลุกพืชพันธุ์ต่างๆ
  • หมู่บ้านชินเชโร (Chinchero) ที่เป็นหมู่บ้านที่สำคัญแห่งหนึ่งของชาวอินคา ที่ยังคงการทอแบบโบราณของชาวแอนดีสอยู่ ท่านจะสามารถพบเห็นชาวพื้นเมืองแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทอท้องถิ่นที่มีสีสันสดใส โดยท่านสามารถซื้อหัตกรรมสิ่งทอพื้นเมืองเป็นของฝากได้
  • หุบเขาสายรุ้ง (Vinicunca) สถานที่ท่องเที่ยวที่จะมานิยาม คำว่า วิวหลักล้าน ในแบบที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อน ด้วยหุบเขานั้นถอดยาวสีสันงดงามเสมือนได้นำสายรุ้งมาพาดไว้กับหุบเขา เป็นวิวที่ครั้งหนึ่งต้องเห็นได้สักครั้งในชีวิต เนื่องจากมีความสูงสุดที่ 5,020 เหนือระดับทะเล

แผนการเดินทางแนะนำ

ไม่แปลกใจที่การจะมาอเมริกาใต้นั้น ควรจะมีเวลาที่ไม่น้อยกว่า 2 อาทิตย์ครับ เพราะต้องเผื่อเวลาให้ร่างกายได้ปรับตัวเข้ากับ Time zone ที่เปลี่ยนแบบกลับหัว กลับหาง จนร่างกายอาจจะอ่อนเพลียแบบสุดๆ โดยขอแนะนำแผนการเดินทางดังนี้

  • Day 1 : 00.30 ออกจากประเทศไทย KLM KL 804 เดินทางถึงอัมสเตอร์ดัมเวลา 07.10 น. หลังจากนั้นพักเปลี่ยนเครื่องประมาณ 5.5 ชั่วโมง แล้วบินต่อด้วย KLM KL 743 ออกเวลา 12.35 น. เดินทางถึงกรุงลิมาประเทศเปรูเวลา 19.15 น. คืนนี้จะค้างที่ลิมา (Lima) เรายังอยู่ในวันเดิม เพราะเป็นการเดินทางย้อนเวลา
  • Day 2 : เดินทางไปท่องเที่ยวในเขตแอมะซอน ที่เมือง Iquitos โดยใช้สายการบินในประเทศในไฟลต์เช้า เดินป่า พบปะชนเผ่า ส่องสัตว์ต่างๆ ตามหาปลาปิรันยา
  • Day 3 : เดินทางกลับมายังกรุงลิมา และ พักค้างคืนที่ลิมา
  • Day 4 : ไฟลต์บินในประเทศไปยังเมืองคุสโก หลังจากนั้นเดินทางค้างยังพื้นที่ๆต่ำกว่า เช่น ที่เมือง Urubamba
  • Day 5 : เดินทางไปยังมาชูพิคชู ด้วยรถไฟ พักที่เมือง Aguas Calientes
  • Day 6 : เดินขึ้นยอดฮวานน่าพิคชู (Huayna Picchu) ตอนบ่ายกลับมาค้างที่เมือง Urubamba อีกครั้ง
  • Day 7 : นั่งรถเที่ยวหมู่บ้านชินเชโร (Chincero) เหมืองเกลือมาราซ (Maras) และนาขั้นบันไดมอเรย์ (Moray) หลังจากนั้น เดินทางกลับไปยังคุสโก พักที่เมืองคุสโก
  • Day 8 : ท่องเที่ยวภายในเมืองคุสโก สถานที่สำคัญต่างๆ
  • Day 9 : ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มไปยังหุบเขาสีรุ้ง (Rainbow mountain)
  • Day 10 : บินภายในประเทศจากคุสโก กลับมาที่ลิมา หลังจากเดินทางด้วยรถมายังเมือง Ica ท่องเที่ยวโอเอซิสกลางทะเลทราบ Huacachina พักที่เมือง Ica
  • Day 11 : ท่องเที่ยว Nazca line โดยเครื่องบินเล็ก หลังจากนั้นเดินทางย้อนกลับมา Islas Ballestas ล่องเรือชมฝูงแมวน้ำ แล้วเดินทางกลับลิมา พักที่พักลิมาในคืนนี้
  • Day 12 : เที่ยวลิมาในช่วงเช้าจนถึงเย็น ตอนเย็นเวลา 21.15 น. เดินทางกลับอัมสเตอร์ดัม สายการบิน KLM KL 744
  • Day 13 : เดินทางถึงอัมสเตอร์ดัมเวลา 15.25 น. หลังจากนั้นพักเปลี่ยนเครื่อง 5 ชั่วโมง 30 นาที หลังจากนั้นเวลา 20.55 น. เดินทางกลับกรุงเทพ ด้วยสายการบิน KLM KL 803
  • Day 14 : เดินทางถึงกรุงเทพ เวลา 13.50 น.

ถ้ามีเวลามากกว่านี้ เดินทางไปไหนต่อดี

ถ้าเรามีเวลามากกว่านี้ การนำเปรูไปรวมกับประเทศข้างเคียง เช่น โบลิเวีย เป็นทางเลือกที่น่าใจ เนื่องจากประเทศอเมริกาใต้อื่นๆ เราอาจจะมาอีกครั้งในเส้นทางอื่นๆเช่น บราซิล ชิลี อาเจนตินา ที่มักจะมารวมกัน หรือ เอกวาดอร์ โคลัมเบีย ก็เป็นอีกเส้นทางที่น่าสนใจ

แต่โบลิเวียนั้นน่าเอามารวมกับเปรู ด้วยเหตุผลคือความต่อเนื่องของอารยธรรมอินคาที่มาถึงที่นี่ และการเดินทางที่ทำได้สะดวก รวมถึงการทำวีซ่าโบลิเวียที่ทำได้ที่เมืองคุสโกนั่นเอง โดยสถานที่น่าสนใจของโบลิเวียคือ ทะเลเกลืออูยูนี่ (Uyuni salt flat) และ ทะเลสาบติติกากา (Lake Titicaca) โดยแนะนำให้เพิ่มเวลาสำหรับโบลิเวียไม่น้อยกว่า 5 วัน โดยต้องมาโบลิเวียหลังเปรูเสมอ เพราะต้องทำให้ร่างกายนั้นคุ้นเคยกับความสูงมาก่อนนั่นเอง

ไปเอง หรือ ไปกับทัวร์

ทวีปอเมริกาใต้ เป็นข้อยกเว้นสำหรับการเที่ยวแบบประหยัด เนื่องจากต่อให้เราประหยัดขนาดไหน มันก็จะยังคงราคาสูงมากเมื่อเทียบกับจุดหมายปลายทางรอบประเทศไทยหรือแม้กระทั่งทวีปยุโรป เนื่องจากค่าเดินทางโดยเฉพาะไฟลต์บินจากเมืองไทยไปยังลิมานั้นถือว่าราคาค่อนข้างสูงมาก และไม่มีตั๋วโปรโมชั่นใดๆเลย นอกจากนี้ยังไม่รวมถึงการใช้ไฟลต์บินภายในประเทศที่ต้องบินเหมือนนก ทำให้ค่าใช้จ่ายมักจะบานปลายไปมากกว่าที่คิดเสมอ

การไปเที่ยวเอง อย่างไรก็ตามข้อดีที่น่าจะชัดเจนคือ เราสามารถจัดแผนการเดินทางได้เอง และ เลือกสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง เช่น นอกเหนือจากการไปมาชูพิคชู เราอาจจะไปฮวานนาพิคชูด้วย ซึ่งทัวร์ปกติมักจะไม่ได้ใส่เอาไว้ หรือเราจะซื้อตั๋วเข้ามาชูพิคชู 2-3 รอบก็ทำได้เช่นเดียวกัน

การไปกับทัวร์ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากจะปวดหัวกับแผนการเดินทาง และการจัดการสิ่งต่างๆ การใช้บริการทัวร์เป็นทางเลือกที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อบริษัททัวร์ปลายทางโดยเราเดินทางไปถึงที่เปรูเอง หรือจะใช้บริการบริษัททัวร์จากเมืองไทยเลยก็ได้เช่นเดียวกัน โดยท่านสามารถใช้บริการของ Patourlogy บริษัททัวร์ที่หมอโจ้เป็นคนดูแลได้ครับ