“Mongolia” The Land Before Time

0
5243

 

เคยคิดถึงช่วงเวลาบางช่วงเวลามากๆมั้ย ?

: )

การเดินทางครั้งนี้ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 22 ก.ค.- 8 ส.ค. 2558 จากกรุงเทพบินไปยัง Saint Petersburg ประเทศรัสเซีย แล้วก็นั่งรถไฟสายทรานไซบีเรียมาจนถึง Ulaanbaatar ประเทศมองโกเลีย เราขอเริ่มเล่าจากสถานที่ที่ความทรงจำยังชัดที่สุดและประทับใจมากสุด คือ

“ประเทศมองโกเลีย”

มองโกเลียเป็นประเทศที่ไม่รู้ว่าจะพูดถึงยังไงดี คือชอบทุกๆบรรยากาศที่เราได้เคลื่อนผ่าน มันเหมือนเราอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากที่ๆเราอยู่มาก ทั้งสงบ เรียบง่าย และมีความเป็นธรรมชาติมาก ไม่มีอะไรที่จะสูงพอที่จะบังวิวทิวทัศน์ได้เลย

การเดินทางของเรามุ่งหน้าลงใต้สู่ทะเลทรายโกบี ที่ซึ่งทำให้เราได้ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างแท้จริง เป็นที่ๆเราไม่ต้องมานั่งก้มดูมือถือตลอดเวลา เพราะไม่มีสัญญาณจร้า การเดินทางของเราใช้เวลาทั้งหมด 6 วัน แผนเที่ยวก็ตามนี้เลย

Day1: Erdene Dalai Village

Day 2: Bayanzag-Flaming Cliffs

Day 3: Khongor Sand Dune

Day 4: Yol Valley

Day 5: Baga Gazariin Chuluu

Day 6: Ulaanbaatar

เราเดินทางไปกับทัวร์ของ Khongor Guesthouse เป็น Local Tour ของที่นั้น ซึ่งขอพูดถึงข้อเสียก่อนเลยนะ คือ เนื่องจากวันที่เราไปคนเกาหลีมาเที่ยวกันเยอะมาก คงเป็นช่วงวันหยุดของคนเกาหลี ทำให้ไกด์กับคนขับรถไม่พอ แล้วเหมือนว่าจะมีแต่คนขับให้เรา แต่ไม่มีไกด์ให้ ทั้งที่เราจองล่วงหน้าไปนานมากแล้ว แต่คงนานจนเค้าลืมเราไป แต่เค้าก็แก้สถานการณ์ได้ดีมาก โดยหาไกด์ให้กะทันหันแบบต้องไปแวะรับแถวๆบ้านไกด์ ให้รถที่ดีที่สุด และคนขับที่รู้ทาง โดยคันอื่นๆอีกสามคันที่เดินทางในวันนั้นคนขับไม่รู้ทางเลยสักคน เราเลยได้เป็นรถคันนำขบวน555 เท่ห์ชะมัด ส่วนข้อดีคือข้อเสียที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นสุดท้ายกลับกลายเป็นข้อดีกับเราคะ ไว้จะเล่านะว่าทำไม : )) 

 


การเดินทางที่ไร้เส้นทาง

เราเริ่มเดินทางออกจากเมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย Ulaanbaatar มุ่งหน้าลงใต้สู่ทะเลทรายโกบี ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก และมีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย พอการเดินทางเริ่มพ้นตัวเมืองหลวงที่มีตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมด เราก็จะพบสองข้างทางที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขา ทุ่งหญ้า ไม่มีต้นไม้สูงเลยสักต้น นอกจากวิวข้างทางที่สวยจนหลับไม่ลง ก็ยังได้เห็นฝูงม้าและฝูงแพะเต็มไปหมด และมีบ้านเรือนน่ารักมีสไตล์ที่เรียกว่า “Ger” กระจายตัวอยู่สองข้างทาง

สักพักการเดินทางเราเริ่มไม่ไปตามถนนหลัก เริ่มเป็นการ Off Road ไม่มีเนวิเกเตอร์หรือ Google Map บอกทาง ใช้ความสามารถของคนขับล้วนๆ กับร่องรอยที่รถคันก่อนๆวิ่งจนเกิดเป็นทางขึ้น ซึ่งบางจุดก็ไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่เลย บางทีเราก็งง ว่าขับไปถูกทางได้ไงนะ

 


มิตรภาพระหว่างทางสวยงามเสมอ

เดินทางไปได้สักพักเราก็แวะกินข้าว อารมณ์แบบว่าหิวก็แวะจอดรถเดินเข้าไปถามตามบ้านชาวบ้านเลยว่าทำข้าวให้กินได้มั้ยไรงี้ ถ้าเค้าไม่มีอาหารเพียงพอก็จะปฏิเสธเรา เราก็แค่แวะไปถามบ้านอื่นต่อ สุดท้ายเราก็เจอบ้านที่มีอาหารเพียงพอสำหรับพวกเรา บ้านนี้มีลูกสามคน เป็นหญิงสองชายหนึ่ง แน่นอนเราคุยกันคนละภาษา แต่รอยยิ้มของเด็กๆ และการเดินมาจับมือพาไปดูนั้นดูนี้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิดมิตรภาพดีๆ เพราะมิตรภาพระหว่างทางมันสวยงามเสมอ;)

เด็กน้อยผู้ไม่ยอมใส่กางเกง><

เรามุ่งหน้าลงใต้ต่อ และแวะหยุดพักที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ๆทำให้เราได้มาลองกินไอศครีมนมอูฐครั้งแรกในชีวิต อร่อยใช่ได้เลยยย

มันคือ ไอติมนมอูฐ

ลืมบอกไป สิ่งที่เราชอบที่สุดคือการได้มาสัมผัสบรรยากาศนอน “Ger” อ่านว่า “เกอร์ ” นะ เป็นลักษณะกระโจมที่อยู่อาศัย หน้าตาน่ารัก รูปร่างกลมๆ โครงสร้างทำจากไม้หรือไม้ไผ่ บุด้วยหนังสัตว์ไม่ก็บุด้วยสักหลาด มีสไตล์มาก เราชอบมาก คือการมาที่มองโกเลียเราจะได้นอนที่เกอร์ทุกคืน ;))

เกอร์หลังนี้มีดาวเทียม กับ โซลาร์เซลล์ด้วยยย
“GER”
อันนี้ไม่ใช่เกอร์ แต่น่ารักดีเลยแอบถ่ายมา><

 


ผาหินทรายสีแดง กับไข่ไดโนเสาร์:))

พอเช้าวันที่สองเราก็มุ่งหน้าไป Bayanzag-Flaming Cliffs เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหน้าผาหินทรายสีแดง เป็นบริเวณที่เค้าเล่ากันว่ามีการค้นพบโครงกระดูกและไข่ไดโนเสาร์ด้วยน้า

Bayanzag-Flaming Cliffs
Me:))
ทริปนี้เราไปกันสามคนค่า มี เปิ้ล แพร และอ้อ

มีชาวบ้านเอางานฝีมือมาขายกันที่นี้ด้วย เราเลยได้อารายติดไม้ติดมือมา เป็นตุ๊กตาอูฐที่ทำจากขนอูฐ ราคาไม่แพง+ น่ารักมากกก ใช้เป็นพร็อพเพิ่มสีสันในการถ่ายรูปได้;)

ตุ๊กตาอูฐ ทำจากขนอูฐ

 


พิชิตยอดทะเลทราย Khongor Sand Dune

เข้าวันที่สามของการเดินทาง วันนี้ภารกิจของเราคือขี่อูฐ และพิชิตยอด Khongor Sand Dune ไม่เคยนึกเลยว่าทะเลทรายมันจะสูงขนาดต้องพิชิตยอด

ไกด์ให้เราเริ่มเดินขึ้นตอนเย็นซึ่งไม่ค่อยมีแดดแล้ว ด้วยความที่ทะเลทรายสูงชัน ประกอบกับเป็นการเดินขึ้นบนทรายนุ่มๆ ทำให้เราเดินขึ้นช้าและหนืดมาก เหนื่อยมากด้วยยยย มองลงมาก็อยากกลิ้งกลับลงไป แต่เราอยากเห็นผืนทะเลทรายกว้างใหญ่ เพราะถ้าให้มองจากตรงนี้เราไม่เห็นอะไรเลย เลยฮึดสู้ แต่กว่าจะถึงยอดพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกเต็มที เรานั่งเหนื่อยบนยอดสักพัก โมเมนต์นั้นสวยมาก ภาพพระอาทิตย์ที่กำลังจะตก กับวิวทะเลทรายผืนใหญ่ นั่งมองสักพักก็หยิบกล้องมาบันทึกภาพแต่กลับไม่สวยเท่ากับการมองด้วยตา

จังหวะลงสนุกสุด กลิ้งลงไปเลยค่า ทรายนุ๊มนุ่มมมม 5555

 


และความใฝ่ฝันก็เป็นจริง ณ Yol Valley

วันที่สี่ของการเดินทาง เราออกจากที่พักตรง Khongor Sand Dune มุ่งหน้าไป Yol Valley จังหวะที่ชอบสุดคือ คนขับขับผ่านช่องเขาแคบๆแล้วให้เรากับเพื่อนๆขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ โห้ววว มันคูลมาก555 เหมือนมีความใฝ่ฝันมานานว่าอยากลองนั่งบนหลังคารถ ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจามาเป็นจริงที่นี้ และวิวรอบข้างก็สุดๆไปเลย ความรู้สึกตอนนั้นก็ ฟินเลยสิฮะ

 


วันที่ห้า ณ Baga Gazariin Chuluu

หลังจากเดินทางมา Baga Gazariin Chuluu ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการ Form ตัวของหินแกรนิต เราก็เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง Ulaanbaatar ข้อดีของการได้กลับมายัง Ulaanbaatar คือเราจะได้อาบน้ำ!!!!

 


ค่ำคืนที่ไม่มีอะไรสว่างไปกว่าดวงดาว

ค่ำคืนที่นี้มีแต่ดาวเต็มฟ้า ปราศจากแสงไฟใดๆรบกวน ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่ยากเลยที่จะได้เห็นทางช้างเผือก ขอแทรกประเด็นที่เราบอกไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่าข้อเสียของการเดินทางครั้งนี้กลับกลายเป็นข้อดีที่สุดของการเดินทางของเรา คือเรามีรถตามมาด้วยอีกสามคัน ซึ่งรถสามคันนี้จะตามเราไปทุกที่เพราะคนขับไม่มีใครรู้เส้นทางนอกจากคนขับรถของเรา รถเราจึงเป็นคันที่นำทาง

ซึ่งเพื่อนร่วมการเดินทางครั้งนี้อีกสามคันเป็นคนเกาหลีหมดเลย เค้าบินมาจากประเทศเกาหลีเพื่อมาที่มองโกเลีย ต่างจากเราและเพื่อนเราอีกสองคนที่นั่งรถไฟมาจากรัสเซีย เพราะฉะนั้นเค้าจะเตรียมของทุกอย่างมาพร้อมมาก ไม่ว่าจะเป็น ถุงนอน น้ำ ขนม อาหาร เหล้า เก้าอี้สนามก็ยังจะเอามาด้วยยนะ55 ส่วนเราทั้งสามไม่มีไรเลย เพราะเราแบกของมาไม่เยอะ เสื้อผ้าก็ใส่ซ้ำ ถุงนอนไม่ต้องพูดถึง ไม่มีจ๊ะ เสบียงก็หมดไปตั้งแต่ตอนอยู่บนรถไฟสายทรานไซบีเรียแล้ว เพราะการเดินทางนานๆไปหลายๆที่แบบนี้ การยิ่งพกสัมภาระมาน้อยการเดินทางจะยิ่งคล่องตัว เพราะฉะนั้นเราเอามาเท่าที่จำเป็น เท่าที่ตัวเองแบกไหวเท่านั้น

แต่โชคดีที่เพื่อนๆชาวเกาหลีเค้าชวนเราทั้งสามคนเข้าแก๊งค์ นั่งดูดาว ชงเหล้าให้กิน แบ่งเสบียง สอนถ่ายรูปทางช้างเผือก และสอนเล่นเกมส์สนุกๆตามสไตล์คนเกาหลี บอกแล้วว่าข้อเสียที่เราเจอกลับกลายเป็นข้อดีที่สุดของการเดินทางของเรา การที่มีรถตามมาอีกสามคันทำให้เราได้เพื่อนใหม่เต็มเลย บางคนเดินทางมาคนเดียว แล้วมาแชร์รถได้เพื่อนใหม่ที่นี้ การเดินทางแน่ๆมันสนุก แต่การได้เจอมิตรภาพดีๆระหว่างการเดินทางนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษ เพราะมีคนมาแชร์ความสุขร่วมกัน ในสถานที่ซึ่งน่าจดจำ อย่างที่พระเอกในหนัง Into The Wild ค้นพบก่อนตายว่า

“Happiness is only real, when shared”

ใต้ท้องฟ้าที่มีแต่ดาว นั่งแชร์เรื่องราวต่างๆในชีวิต เรายังจำโมเมนต์นั้นได้แม่นยำ โมเมนต์ที่พยายามช่วยกันสอนถ่ายทางช้างเผือก เราถ่ายไม่เป็น แต่ทุกคนก็พยายามสอน แม้รูปมันจะออกมาไม่ค่อยสวยอย่างที่ตาเห็น ไม่ค่อยชัดเท่าที่ควร แต่ภาพความทรงจำยังชัดอยู่เลย ค่ำคืนที่ไม่มีอะไรสว่างไปกว่าดวงดาว;)

 


คำเตือนและข้อแนะนำสำหรับการมาเที่ยวมองโกเลีย

  1. อาหาร อาหารหลักของที่นี้คือเนื้อแพะ ซึ่งเป็นเนื้อที่มีกลิ่นแรงมาก ใครกลัวกินไม่ได้ก็เตรียมเสบียงไปด้วยน้า คนเกาหลีที่เดินทางไปกับเรากินเนื้อแพะกันแทบไม่ได้เลย แต่เค้าทำการบ้านกันมาดี เค้าเตรียมมาม่า อาหารกระป๋องไปกินแทน
  2. ห้องน้ำ อันนี้หนักจริง เป็นส้วมหลุมขุด ไม่มีประตู การไม่มีประตูคงเพื่อให้เราได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามขณะนั่งน้ำภารกิจสินะ555>< เห็นหน้าตาห้องน้ำแล้วอย่าเพิ่งท้อไม่ยอมไปกันนะ เราว่ามีโอกาสในชีวิตไม่กี่ครั้งหรอกที่จะได้มาใช้ห้องน้ำที่นั่งทำธุระไปก็มองวิวสวยๆไปด้วย มันเป็นห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมาเลย;) แนะนำให้เอากระดาษเปียกไปให้เยอะที่สุดดด
  3. การไม่ได้อาบน้ำเป็นเรื่องปกติของที่นี้ เพราะฉะนั้นทริปนี้เราแทบไม่ได้อาบน้ำเลยยย>< พกกระดาษเปียกไปเยอะๆนะจ๊ะ หรือถ้าไม่ไหวก็ซื้อน้ำติดไปเยอะๆ เอาไว้สระผม ล้างหน้าล้างตา เพราะก่อนออกนอกเมืองหลวงเค้าจะแวะ Supermarket ให้เราก่อน เราเห็นคนเกาหลีที่ไปด้วยกันซื้อน้ำตุนไว้เต็มที่ เพื่อเอามาสระผม ส่วนเราใช้ Dry Shampoo                                                                                                                 
  4. การเดินทาง เป็น Off Road ไม่มีถนนหนทาง ใช้ความสามารถคนขับ+ร่องรอยล้อของรถคันก่อนๆ เอาไว้ช่วย Confirm ว่าเราไม่หลงนะ
  5. ฝึกถ่ายทางช้างเผือกไว้ เพราะทางช้างเผือกที่นี้ชัดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก ดาวสวยโคตรรรรรรร และอย่ารีบเข้าเกอร์นอนแต่หัววันนะ นอนดูดาวก่อน มันสวยยยยยยมากจริงๆ ถ้าให้ดีพกถุงนอนไปปูนอนเล่นดูดาวหน้าเกอร์ ฟินสุด!!!                                                 
  6. สำหรับสาวๆ ที่มองโกเลีย หนุ่มเกาหลีนิยมมาเที่ยวมากกกกกกกกก อาจจะมีโอกาสได้เจอโอปป้านะ อันนี้พูดจริง555                                         
  7. สำหรับคนไทย มองโกเลียเป็นประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า สามารถอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน ดีงามมาก
  8. ภาษา มองโกเลียเป็นประเทศที่มีพรมแดนทางเหนือติดกับรัสเซียและทางใต้ติดกับจีน แม้คนมองโกเลียจะหน้าตาค่อนไปทางจีน แต่กลับมีความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซียมากกว่าจีน มองโกเลียได้รับอิทธิพลแนวคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจมาจากรัสเซีย จะเห็นได้ชัดเลยว่าที่ประเทศมองโกเลียจะใช้อักษร Cyrillic ซึ่งเป็นอักษรของภาษารัสเซีย แทนอักษรมองโกลเอง
  9. อากาศ ช่วงที่เราไปเป็นหน้าร้อน คือช่วงเดือนกรกฎาคม แต่เห็นภูมิประเทศเป็นทะเลทราย แดดแรง ไม่มีต้นไม้สูง ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะร้อนนะ สำหรับเราอากาศช่วงที่เราไปดีมาก ถึงแดดจะแรง แต่มีลม มันกำลังดีกำลังสบายเลย ตัวไม่เหนอะหนะ ไม่อาบน้ำก็อยู่ได้สบายๆ แต่กลางคืนแอบหนาวไป อย่าลืมเตรียมเสื้อหนาวหรือถุงนอนไปด้วยน้า เราไม่ได้เอาถุงนอนไป ต้องไปขอใช้ผ้าห่มเค้าเพิ่ม
  10. ว่าด้วยเรื่องน้ำดื่ม ทัวร์ที่เราไปด้วยเค้าจะเตรียมน้ำให้เราคนละ 1 ขวดใหญ่ประมาณ 1500 มิลลิลิตร/วัน สำหรับเรามันเพียงพอสำหรับการดื่ม+ใช้ล้างหน้า และบ้วนปากเวลาแปรงฟัน ไม่ต้องซื้อเพิ่ม แต่ถ้าคนไหนกินน้ำเยอะ หรือต้องการจะสระผม ก็ซื้อติดไปเพิ่ม เค้าจะแวะ Supermarket ในตัวเมืองหลวงให้ก่อนออกเดินทางจ้า
  11. เรื่อง เงินๆทองๆ สกุลเงินที่ใช้ในประเทศมองโกเลียคือ Tugrik บางคนก็อ่านว่า ทูกรุก ไม่ก็ ทุกริก เราอ่านไม่ค่อยถูกเลย555 รหัสสกุลเงินก็ MNT เราเอาเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา(USD)ไป โดยที่ Khongor Guesthouse รับจ่ายทั้งบัตรเครดิตและเงินดอลลาร์สหรัฐ และรับแลกเงินด้วย แต่เราเอาเงินดอลลาร์ไปแลกเงินที่ธนาคารที่มองโกเลียจ้า
  12. อย่าสับสนเรื่อง Inner Mongolia กับ Outer Mongolia นะ ที่เราไปนี้คือ Outer Mongolia หรือประเทศมองโกเลีย เพราะคำว่า Inner Mongolia คือเขตปกครองตัวเองมองโกเลียใน ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศจีน

 


 สรุปรายละเอียดการเดินทางสั้นๆ

*ช่วงที่เราเดินทางคือ วันที่ 22 ก.ค. – 8 ส.ค. 2558 โดยบินไปลงรัสเซียแล้วค่อยนั่งรถไฟมามองโกเลีย เราอยู่มองโกเลียทั้งหมด 6 วัน โดยมี plan การเดินทางในมองโกเลียตามนี้

Day1: Erdene Dalai Village

Day 2: Bayanzag-Flaming Cliffs

Day 3: Khongor Sand Dune

Day 4: Yol Valley

Day 5: Baga Gazariin Chuluu

Day 6: Ulaanbaatar

*ที่พัก และ Local Tour สำหรับทริปนี้

เราพักและเดินทางไปกับทัวร์ของ Khongor Guesthouse http://www.khongor-expedition.com/ เป็น Local Tour ของที่มองโกเลีย ทุกอย่างให้เค้าจัดการดูแลให้หมด ค่าทัวร์ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยว โดยตอนเราไปราคาอยู่ที่

2 คน 99 USD ต่อ 1 วัน

3 คน 81 USD ต่อ 1 วัน

4 คน 71 USD ต่อ 1 วัน

5 คน 64 USD ต่อ 1 วัน

6 คน 59 USD ต่อ 1 วัน

โดยถ้าเราไปน้อยคน อยากประหยัดก็สามารถบอกเค้าไปว่าถ้ามีคนอื่นเที่ยวช่วงเวลาเดียวกัน แพลนการเดินทางคล้ายๆกัน ก็สามารถมา Join Group กันได้

*ของฝาก

ตุ๊กตาอูฐกับเกอร์ทำจากขนอูฐ ถ้าใครสนใจแนะนำให้ซื้อฝีมือชาวบ้าน ตอนออกนอกเมืองแล้ว เค้าชอบเอามาตั้งแบกะดินตามสถานที่ท่องเที่ยว ที่เราเจอก็ที่ Bayanzag-Flaming Cliffs และ Yol Valley เพราะในเมืองราคาโหดกว่า และไม่น่ารักเท่า


A Million Thanks:))

*ขอบคุณอ้อกับเปิ้ลที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน การเดินทางครั้งนี้เจอเรื่องราวเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นโดนขโมยเงินตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทริปที่รัสเซีย ประสบการณ์นั่งรถตำรวจครั้งแรก การพยายามติดต่อตำรวจรัสเซียซึ่งไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษแต่โชคดีที่เจอคนรัสเซียใจดีให้ความช่วยเหลือ และการได้ไปเยี่ยมเยือนสถานฑูตไทยในรัสเซีย

ขอบคุณอ้อจริงๆ ที่เจอเรื่องร้ายๆมาก็ยังสามารถทำใจได้อย่างรวดเร็ว เที่ยวต่อได้อย่างสนุกสนาน ของมันหายไปแต่ใจเราต้องไม่หายไปด้วย

ขอบคุณเปิ้ลที่วาดตารางวางแผนเรื่องรถไฟสายทรานไซบีเรียมาอย่างดี ไม่มีพลาดเลย และขอบคุณเปิ้ลจริงๆที่ดูแลตอนเราเมาหัวทิ่มที่มองโกเลีย55

แพร อ้อ เปิ้ล :))

*ขอบคุณ อมาราฮัค ชื่อนี้ออกเสียงยากมาก อมราฮัคเป็นคนขับรถให้เรา เป็นคนขับเพียงคนเดียวที่รู้ทาง แก้ปัญหาได้เก่งที่สุดดด และเท่ห์ที่สุดดด

อมาราฮัค ;))

*ขอบคุณ อูเล ไกด์ของเรา อูเลเป็นไกด์ที่มาแบบกระทันหัน  แบบไม่ได้ตั้งตัว อารมณ์ว่าเป็นไกด์ on call 555 แต่ก็สามารถดูแลพวกเราได้ดีมาก

อูเล ไกด์ของเรา;))

*ขอบคุณเพื่อนใหม่ชาวเกาหลีสำหรับมิตรภาพดีๆ และถือเป็นความโชคดีมากๆที่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ทำให้ประเทศที่มีผู้คนเบาบาง บรรยากาศเวิ้งว้าง กลับมีสีสัน:))

เพื่อนใหม่ชาวเกาหลี

*และสุดท้าย ขอบคุณหมอวินกับหมอโจ้ หมอๆตะลุยโลกผู้แต่งหนังสือ “ทริปในฝัน 41 วัน ครึ่งซีกโลก” ที่สร้าง Inspiration ในการเดินทางครั้งนี้คะ;))

หนังสือ “ทริปในฝัน 41 วัน ครึ่งซีกโลก” หนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรา;)

 

ตลอดการเดินทางทั้งหกวัน ท้องฟ้าสดใสทุกวัน

ถึงแม้ฟ้าจะเป็นใจทำให้ถ่ายรูปออกมาดูดี

แต่ของจริงสวยกว่าในรูปเยอะ

อยากให้ลองมาเห็นกันด้วยตาตัวเอง

เป็นดินแดนเวิ้งว้างที่สีท้องฟ้าสดใสที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมา;)

Mongolia

The Land of the Eternal Blue Sky ;))


สถานที่ซื้อเป้และอุปกรณ์ท่องเที่ยวของแท้ 100%

สถานที่ขายเป้หรืออุปกรณ์ท่องเที่ยวแท้มันก็ควรจะเป็นที่ๆน่าเชื่อถือ ไม่ใช่ไปขายกันที่ตลาดโรงเกลือ สำเพ็ง หรือว่าที่ฮานอยในเวียดนามถูกไหมครับ

แนะนำกันตรงนี้เลยละกันนะครับ เพราะมันคือร้านที่ผมสร้างมันขึ้นมาเองกับมือที่ชื่อว่า “The Puffin House”

ไม่ว่าจะเป็นเป้ Deuter, Osprey, Columbia ที่นี่คือของแท้ 100% ผมเป็นคนติดต่อเองทั้งหมดจากผู้แทนในประเทศไทยทั้งหมด

ซื้อของจากที่นี่ ถ้ามีปัญหาจะส่งกลับมาให้ทางร้านผม หรือว่าจะไปที่ศูนย์บริการตามห้างก็ได้ครับ เพราะสุดท้ายปลายทางคือเข้าโรงงานเหมือนกัน