วันนี้ผมจะพาทุกๆคนไปเที่ยวจังหวัดหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย (Indonesia) ที่เรียกได้ว่าอยู่ใกล้กับประเทศไทยมากครับ บินตรงจากกรุงเทพใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ผมคิดว่าคนไทยยังมาเที่ยวน้อยมาก
ถามว่ารู้ได้ไง ก็เอาแค่ไปค้นหาจากกูเกิ้ลดูก็จะเห็นว่ารีวิวมีน้อยถึงน้อยมากครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สวยนะครับ คนที่คิดจะเที่ยวอินโดเป็นครั้งแรกในชีวิตก็คงเลือกที่จะไปบาหลี (Bali) หรือโบรโม่ (Bromo) ก่อนแน่นอน เมดาน (Medan) เลยกลายเป็นลูกชังที่ถูกมองข้าม แต่ถ้าใครได้มาที่นี่ก็จะตกหลุมรักเมดาน (Medan) แน่นอน เพราะความดิบของการเดินทางที่นี่ยังมีอยู่ 100% ต่างจากสถานที่บนเกาะชวาหรือบาหลีที่กลายเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวไปหมด
เอาละตามผมมากันนะครับ ดูให้รู้ว่าเมดาน (Medan) มีอะไรน่าเที่ยว ทริปต่อไปในอินโดนีเซียของเราอาจจะไม่ได้มีแค่เพียงโบรโม่หรือบาหลีอีกแล้ว
เมดาน (Medan) อยู่ที่ไหน
หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อ หลายคนอาจจะพอเคยได้ยินชื่อ แต่เกือบจะทุกคนไม่รู้ว่าเมดานตั้งอยู่ตรงไหน
เมดาน ตั้งอยู่ที่เกาะสุมาตรา (Sumatra) เกาะของประเทศอินโดนีเซียที่อยู่ใกล้ประเทศไทยที่สุดห่างจากฝั่งจังหวัดสตูลของเรามาไม่กี่ร้อยกิโลเองครับ
โดยตัวเมืองเมดาน (Medan) ถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะสุมาตรา ใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศอินโดนีเซียครับ
ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นว่าอยู่ใกล้เมืองไทยมากๆ ใกล้ขนาดนี้แล้วจะไม่ไปเที่ยวหน่อยเหรอครับ 🙂
ทำไมต้องมา “เมดาน”
1. ข้อนี้เป็นอะไรที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนที่สุดครับ เพราะมันอยู่ใกล้เมืองไทยมากกกก ผมเชื่อว่าหลายคนไม่เคยรู้จักเมืองนี้มาก่อนแน่ๆ ลองไปเปิด google map ดูนะครับ เลื่อนไปที่ภูเก็ตแล้วก็เลื่อนลงมาอีกหน่อยนึงเราก็จะเห็นเมืองที่ชื่อว่า เมดาน (Medan) แล้ว
2. และก็เพราะที่มันอยู่ใกล้ มันเลยเดินทางไม่นาน แค่ประมาณ 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพเท่านั้นเองครับ AirAsia บินตรงทุกวันขาออกจากกรุงเทพตอนแปดโมงกว่าๆ ขากลับจากเมดานเครื่องออกตีห้า มาถึงกรุงเทพเจ็ดโมงทำงานต่อสบายใจ
3. มันมีภูเขาไฟครับ สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นภูเขาไฟมาก่อน การได้มาเห็นอะไรที่เดือดปุดๆ พ่นควันออกมาได้ เป็นอะไรที่โคตรน่าตื่นเต้น ผมเห็นเราไปโบรโม่ บาหลีกันมากไปแล้ว ลองแวะมาที่เกาะสุมาตรากันบ้างดีกว่า เผื่อจะได้เห็นอะไรใหม่ๆกันนะครับ
4. ค่าครองชีพถูกมากกกก คือผมพยายามจะใช้เงินให้เยอะจะได้ช่วยท้องถิ่นนะ แต่ไม่รู้จะไปเยอะกับอะไรดี ราคาเมืองไทยเท่าไร ราคาเมดานก็เท่านั้น เพราะที่นี่นักท่องเที่ยวน้อยครับ ราคาที่คุยกันคือราคาตรงๆไม่มีบอกผ่านเพื่อให้เราต่อราคา ผมใช้เงินไปกับค่าอาหารแค่วันละไม่ถึง 200 บาทเลยครับ
5. วิธีการเที่ยวที่เรียกว่าประหยัดงบสุดและสะดวกสบายสุดคือ เช่ารถขับเลยครับ ให้เขามาส่งรถที่สนามบิน แล้วก็ให้เขามารับรถที่สนามบิน ค่าเช่ารถตกวันละ 350,000 IDR หรือประมาณ 900 บาทต่อ ค่าน้ำมันที่ก็ถูกตกลิตรละราวๆ 25 บาท ไปรวมกลุ่มเพื่อนซี้ให้ได้สัก 4 คนพอนั่งรถได้ก็ลุยกันเลย
การเดินทางมา Medan
วิธีที่สะดวกที่สุดและก็แนะนำอย่างที่สุดคือใช้เครื่องบินๆมาครับ
จากกรุงเทพเรามีไฟลต์บินตรง ดอนเมือง (DMK) – เมดาน (KNO) ทุกวัน เป็นสายการบิน AirAsia รหัส OZ นะครับ (ของ Indonesia)
ขาออกจากดอนเมือง จะออกเวลา 12.45 ไปถึงเมดานตอน 14.40
ส่วนขากลับจะออกจากเมดานเวลา 10.10 มาถึงดอนเมือง 12.10
สนามบินของเมืองเมดาน (Medan) ชื่อว่ากัวลานามู (Kuala Namu) ตัวย่อคือ KNO ครับ
ราคาค่าตั๋วโดยสาร เอาแบบไม่คิดมากจองเอาแบบมั่วๆก็จะอยู่ที่ประมาณ 4,000 – 4,200 บาทโดยประมาณนะครับ
แต่ถ้าใครได้ตั๋วโปรมาราคาก็จะยิ่งถูกไปกว่านี้
สำหรับสายการบินรองลงมาก็จะเป็น Lion Air ที่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ Kuala Lumpur ก่อนครับ อันนี้อาจจะดีตรงที่มีน้ำหนักกระเป๋าแถมให้ ราคาก็ใกล้เคียงกัน แต่ว่าเวลารอบบินจะสู้ของ AirAsia ไม่ได้ครับ
จัดกระเป๋าก่อนไปลุยเมดาน
ส่วนใหญ่ก็ไปประมาณ 3-5 วันสำหรับเมดาน ของทั่วๆไปก็อาจจะไม่เยอะมากนักครับ
ถ้าเป็นเป้ก็อย่าเอาแบบลากมานะครับอันนี้ไม่ค่อยแนะนำ พื้นราบแถวนี้ถ้านอกจากสนามบินที่เรามาถึงผมก็ไม่เห็นที่ไหนแล้วละ เอาเป็นเป้สะพายมาน่าจะดีกว่าครับ
รองเท้าที่ใช้ก็ควรจะเป็นรองเท้าเดินป่ามาตรฐาน เพราะทริปนี้จะมีการปีนป่าย เดินป่า เดินเขาเล็กๆน้อยๆตลอดทางครับ
เห็นมาเกาะสุมาตราอาจจะคิดว่าไม่หนาว แต่จริงๆแถวนนี้เป็นที่ราบสูงหมดเลย อากาศก็เลยเย็นสบาย แต่พอตกดึกนี่ก็เรียกว่าหนาวได้เลยครับ ที่อุณหภูมิต่ำที่สุดในตอนกลางคืนประมาณ 20-25 องศา ก็เอาเสื้อวอร์มมาสักตัวก็ถือว่าสบายๆแล้ว
กางเกงที่ควรเอามาก็คิดว่าน่าจะเป็นกางเกงเดินป่าที่ลุยได้ทุกสถานการณ์ เพราะตอนช่วงลุยน้ำตกนี่เฉอะแฉะพอสมควร แล้วก็อย่าลืมเอากางเกงว่ายน้ำมาสำหรับเผื่อลงเล่นน้ำในทะเลสาบ
ส่วนที่ห้ามลืมอย่างเด็ดขาดก็คือชุดกันฝน จะเป็นแจ๊คเกตหรือถุงพลาสติค หรือจะเป็นชุดกันฝนเซเว่นอะไรก็ได้ครับ เพราะที่นี่ฝนตกถี่มาก บางทีแถมมีฝนนอกฤดูอีกครับ
นอกเหนือจากอุปกรณ์การเดินทางทั่วๆไป สิ่งที่เรามักจะลืมไปอีกอย่างก็คือพวกยาสามัญประจำทริปนั่นเอง
ยาพวกนี้ไม่ต้องเอาไปเยอะ แต่ต้องเลือกให้ดีว่าจะเอาอะไรไปบ้าง
พวกยาทั่วๆไปที่ผมมักจะติดกระเป๋ายาฉุกเฉินไว้แบบว่าพกไว้สบายใจเสมอ เพราะหาที่ต่างประเทศลำบากครับก็จะมี
- พวกยาแก้ปวดท้อง
- ยาพาราเซตามอลทั่วๆไป
- ยาฆ่าเชื้อเอาไว้กินตอนที่เวลาท้องเสียหนักๆ
- ยาทาที่สำคัญก็มีตัวยาที่เอาไว้ทาแก้แพ้แก้คันกลุ่มพวก Hydrocortison ที่ความเข้มข้นต่ำมาก 1% ครับ
- สเปรย์ที่เอาไว้ใช้พ่นตามกล้ามเนื้อโดยเฉพาะเวลาที่ผ่านการเทรคกิ้งมาระยะเวลานานๆ ซึ่งขาทั้งสองข้างเราจะระบมอย่างมาก ตอนนี้สเปรย์ฉีดแก้ปวดที่มีขายทั่วไปก็เช่น Uniren spray ครับ
สามารถไปอ่านเรื่องการเตรียมยาไปเที่ยวแบบละเอียดได้ที่บทความนี้ https://goo.gl/h0jAPy
ส่วนเรื่องของการถ่ายรูป เน้นเลนส์ทุกช่วงซูมได้หมด มีอะไรก็เอาไป เพราะถ้าได้รถมาขับเที่ยวสบายครับ หนักตอนแบกขึ้นเครื่องอย่างเดียว ที่เหลือก็จอดๆถ่ายๆสบายเลยครับ
การเดินทางในเมดานหรือเกาะสุมาตราด้านเหนือ
ในทริปนี้ผมเน้นขับรถเป็นหลักครับ เพราะสะดวกและสบายที่สุด
ค่าเช่ารถวันนึงก็ไม่แพงครับ ผมได้รถ Suzuki รุ่น SX4 X-Over เกียร์ออโต้มา ค่าเช่าวันละ 350,000 IDR ก็ราวๆ 950 บาทต่อวันครับ
เว็บไซต์ที่แนะนำให้เช่ารถ >>> http://www.medanrentcar.com เจ้าของตอบเฟซบุ๊คไวมาก และดูจริงใจ ตรงๆ ไม่โกงครับ
สิ่งที่ต้องมีก่อนมาขับรถคือ ต้องไปทำใบขับขี่สากลมาก่อน สามารถทำที่กรมขนส่งในแต่ละจังหวัดได้เลยครับง่ายๆห
หลังจากพอได้รถมาแล้ว หน้าที่ของเราก็คือตรวจเช็คสภาพรถให้เรียบร้อย ถ่ายรูปทุกจุดของรถที่มีตำหนิ จะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง
การขับรถในอินโดนีเซีย
พวงมาลัยขวา ขับชิดซ้าย แซงขวา เหมือนเมืองไทยครับ
มีรถมอเตอร์ไซด์ขับไม่เคารพกฏ คนวิ่งตัดหน้ารถ เหมือนประเทศไทยเช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ คนที่กดแตรรถกันมันส์มาก ขับรถไร้ระเบียบวินัยกว่าเมืองไทยก็มากอีกเช่นกัน
ถนนแทบจะทั้งเกาะเป็น 2 เลน ไม่มีไหล่ทางทั้งหมด เวลาโดนเบียดก็แทบจะตกลงไปข้างทาง – -”
แต่ก็กระนั้นแล้ว ถ้าเราถือคติว่าเราจะวิ่งของเราแบบนี้ อยากแซง แซงไป ไม่สนใจ แบบนี้ก็ปลอดภัยครับ ขับแบบชิวๆกินลมไปได้เลย ปล่อยให้พวกนักซิ่งเขาแซงเราไป
Medan road trip plan!!! เอาไว้ดูคร่าวๆก่อนไปนะครับ
ผมสรุปแผนการเดินทางให้สำหรับผู้ที่มีเวลาแค่ 3 วันในเมดาน
วันที่ 1 :
รับรถที่สนามบิน > ไปที่น้ำตก Sibolangit > ค้างคืนที่เมือง Berastagi
– นัดรถที่เราเช่าให้มาส่งที่สนามบิน Kualanamu อย่าไปรับรถในเมืองเด็ดขาด เพราะรถติดมากเสียเวลาเข้าไปเมืองโดยเปล่าประโยชน์
– พอได้รถมา ระหว่างทางออกจากสนามบิน ถนนจะโล่งและตรงมาก ก็ขับเลนซ้ายไว้นะครับ (อินโดขับเหมือนบ้านเรา) จะได้ฝึกทำความคุ้นเคยกับเรา
– จากนั้นให้มองหาร้านสะดวกซื้อเอาไว้ เพื่อซื้อซิม Telkomsel จะได้ใช้ 3G ได้ครับ
– ร้านค้า 7-11 ของอินโดจะดังๆคือ Indomaret, Alfamart มีพอๆ 7-11 หรือ family mart บ้านเราครับ เยอะมากกกก ไม่ต้องกลัวเสบียงหมด
– น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจะถึงหมู่บ้าน Sibolangit เพื่อเทรคไปน้ำตกครับ
– หลังจากนั้นก็ขับไปเรื่อยๆ แวะค้างคืนที่เมือง Berastagi
วันที่ 2 :
ขึ้นจุดชมวิวดูภูเขาไฟ Sinabung และ Sibayak > น้ำตก Sipisopiso waterfall > ถนนเลียบทะเลสาบ > เมือง Parapat
– ตื่นแต่เช้าดูพระอาทิตย์ขึ้น
– ไปกินอาหารเช้าแบบอินโดที่ตลาดใน Berastagi
– ไปยอดเขา Gun Darling เพื่อดูยอด Sinabung กับ Sibayak แบบชัดๆ
– ขับรถอีกราวๆ 1.5 ชั่วโมงจะถึงน้ำตก Sipisopiso ใช้เวลาเดินเทรคลงไปที่ตีนน้ำตกอีกราวๆ 2 ชั่วโมงครับ
– ขับรถต่อไปยัง lake Toba แล้วก็ดูดดื่มให้อิ่ม
– ขับรถไปยังเส้นทางเลียบทะเลสาบถึงเมือง Parapat ต้องให้ถึงก่อน 17.45 เพื่อจะขึ้นเรือ Ferry รอบสุดท้ายไปยังเกาะ Samosir กลางทะเลสาบ Toba
– ถึงเกาะ Samosir แล้วก็หาที่นอนครับ
วันที่ 3 :
ขับรถเล่น Samosir Island > จุดชมวิว Tele tower > ขับย้อนกลับอีกเส้นทางมาที่เมือง Medan แล้วก็คืนรถ นอนสนามบิน พรุ่งนี้เช้ากลับบ้าน
– ตื่นเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้น
– ไปดูเนินประหารของอาณาจักรโบราณที่ Ambarita
– ขับรถเล่นรอบเกาะไปเรื่อยๆ
– ขึ้นจุดชมวิวที่ Tele tower
– วกกลับมาถึงสันทะเลสาบแล้วก็ขับรถดูวิวที่ราบสูงไปเรื่อยๆ
– แวะ Taman Simalem Resort เพื่อดูวิวทะเลสาบโทบาปิดท้ายก่อนขับรถกลับ Medan
– ด้วยแผนการเดินทางเช่นนี้ เราจะมาถึงเมดานตอนประมาณ 21.00 – 22.00 ครับ แล้วก็คืนรถเขา แล้วก็นอนสนามบิน พรุ่งนี้เช้ามืดบินกลับกรุงเทพครับ
ขับแบบชิวๆเฉลี่ยๆวันละ 150-200 กิโลเมตร รวมๆแล้วจะขับประมาณ 550 กิโลเมตรครับ (จะเรียกว่าชิลได้ไหม)
นี่ไปเที่ยวหรือไปทรมานเนี่ย 555
รถเช่าส่วนใหญ่ในอินโดนีเซียก็เป็นเกียร์กระปุกเยอะเหมือนกันครับ
เวลาจองต้องย้ำกับเจ้าของรถให้ดีถ้าเราต้องการเกียร์ออโต้ครับ
น้ำตกลึกลับกลางป่า
ตอนที่ผมนั่งหาข้อมูลที่จะไปเมดาน ส่วนใหญ่ก็จะเจอแต่ภาพของทะเลสาบ Toba หรือภูเขาไฟ Sinabung ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของเกาะสุมาตราด้านเหนือ
แต่หลังจากการทำการบ้านอย่างหนัก ผมก็เหลือบไปเห็นภาพน้ำตกหนึ่งในกูเกิ้ลอิมเมจที่อยู่ท่ามกลางภาพของทะเลสาบโทบา ภาพของน้ำตกที่มีสายน้ำสีใสร่วงมาจากฟ้า ตกกระทบกับพื้นด่างล่างที่เป็นแอ่งน้ำสีฟ้าครามใสกิ๊งทำเอาผมถึงกับสะดุดตาจนต้องหยุดมอง มือก็เลยกดเข้าไปดูรายละเอียดของภาพว่ามันอยู่ที่ไหนอย่างไร ภาพของน้ำตกนี้คล้ายกับน้ำตกจ๊อกกระดิ่นที่ทองผาภูมิบ้านเรามาก แต่ว่าของที่นี่น้ำมันสีฟ้าสดใสกว่ามาก
สืบไปสืบมาได้ความว่ามันชื่อน้ำตก Sibolangit waterfall ครับ ฝรั่งให้ชื่อเล่นว่า Two colors waterfall ต้นน้ำอยู่ที่เชิงภูเขาไฟ Sinabung ตัวน้ำตกตั้งอยู่ในป่าที่ไม่ห่างจากหมู่บ้าน Sibolangit ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางจากเมดานมาที่เมือง Berastagi ครับ ถ้าใครขับรถมาจะเห็นชื่อหมู่บ้านนี้ชัดเจน แต่ป้ายน้ำตกไม่มีนะครับ มีแต่ชาวบ้านที่รู้จัก ที่นี่ไม่ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ชัดเจนนัก
หลังจากที่วกเข้าไปในหมู่บ้าน เราก็จะต้องขับรถผ่านสภาพถนนที่เหมือนผิวดวงจันทร์แล้วทางก็จะพามาถึงหมู่บ้านด้านใน ที่ผมต้องเดินลงมาจากรถเพื่อถามถึงชาวบ้านในการนำทางเข้าไป ต้องมีเจ้าถิ่นเท่านั้นถึงจะไปได้ เพราะว่าเป็นป่าดงดิบครับ ไม่มีเส้นทางที่ชัดเจน ใช้เวลาเดินไปกลับจากหมู่บ้านประมาณ 4-6 ชั่วโมง ขึ้นตามสภาพความฟิตของร่างกาย
ผมเดินตามหาชาวบ้านแถวนั้น ในตอนนั้นชาวบ้านทุกคนบอกว่ามันเข้าไม่ได้ครับ เนื่องจากพึ่งมีน้ำหลากแถวนั้นไป มันอันตรายเกินกว่าที่จะเดินด้วยเท้า เขาไม่ยอมนำทางให้ ก็เลยต้องจำใจยอม ไม่กล้าเสี่ยงเดินเข้าไปเพราะดูแล้วอันตรายน่าจะมากกว่าที่เราจะประเมินได้ เลยทำได้เพียงยืนมองที่ป้ายและขับรถไปยัง Berastagi ต่อไปครับ
ล่าสุดนี้ผมพึ่งเปิดดูใน Tripadvisor พบว่าน้ำตกเปิดอีกครั้งแล้วนะครับ ใครอยากไปลองของแปลกก็เชิญได้เลยครับ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับขาลุยที่มีโอกาสมาเที่ยวเมดานทุกคน เอาไว้ผมจะกลับไปแก้ตัวอีกครั้ง
รูปนี้เจ้าของ Nachelle homestay ที่ Berastagi ที่ผมไปพัก เขาส่งรูปนี้มาให้ดู สวยมากกก บอกเลยครับ
Sibolangit waterfall
GPS location : 3.272867, 98.536644
ทางเข้าสังเกตให้ดีๆนะครับ มันจะไม่มีป้ายบอกทางที่ชัดเจนเท่าใดนัก
หลังจากพิชิตน้ำตกมาแล้ว ผมแนะนำให้มาพักที่เมือง Berastagi ที่อยู่ไม่ไกลจากน้ำตกมากนัก
คาดว่าน่าจะมาถึงที่นี่ก็ตอนมืดๆกันแล้วครับ
Nachelle homestay คือที่พักของผมในวันแรกที่ Berastagi
เจ้าของชื่อ Mery Sembiring พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก สามารถแนะนำร้านอาหารและสถานที่สำคัญต่างๆในเมืองได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่โฮมสเตย์นี่เคลมตัวเองว่าไม่เหมือนใครก็คือวิวจากด้านฟ้าของที่พักครับ
เจ้าของจะไม่ยอมให้ใครเข้าไปที่ชั้นดาดฟ้าเด็ดขาดจนกว่าที่เราจะตอบตกลงปลงใจเป็นแขกของเขา
จากที่พักเราจะเห็นภูเขาไฟทั้งสองลูกคือ Sinabung และ Sibayak
For Volcano Lover.
ใครที่มีโอกาสได้มาที่เมดาน (Medan) แล้วมาไม่ถึงเมือง Berastagi ถือว่าการเดินทางนั้นไม่สมบูรณ์แบบ จากเมืองนี้เราจะเห็นภูเขาไฟ Sinabung ได้ชัดมากครับ ใครมีกล้องก็ติดกล้องบวกกับเลนส์ซูมไปด้วยนะครับ ระยะสัก 150-200 mm นี่กำลังดี
แต่ก่อนยอดของ Sinabung สามารถไปพิชิตได้ แต่เนื่องจากช่วงหลังๆภูเขาไฟลูกนี้ค่อนข้างคึกคะนองมากไปหน่อย ระเบิดไปถี่ๆ เขาเลยปิดไปหมดแล้ว พวกเราก็เลยได้แต่มองครับ แต่ภูเขาไฟอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆกันคือ Sibayak อันนี้ยังไปได้อยู่นะครับ มองเห็นจากดาดฟ้าเช่นเดียวกัน
เมืองนี้ตั้งอยู่สูงประมาณ 1,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปีจนบางทีลืมว่าอยู่อินโดนีเซียที่ตั้งอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตร
เอาละไปไปเที่ยวกันต่อนะครับ
ภูเขาไฟที่นี่ น่าจะเป็นภูเขาไฟแบบจริงจังที่ยังเห็นการปะทุ แล้วคนไทยมาดูได้ง่ายที่สุดแล้วสำหรับผู้ที่อยากจะเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต
ด้วยเหตุผลที่ว่ามันอยู่ไม่ไกล มาได้ง่าย และค่าใช้จ่ายก็อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมครับ
พาหนะคู่ใจตลอด 3 วันที่ในสุมาตรา
เนินเขาแห่งความรัก Gun Darling
จุดชมวิวของที่นี่ เราจะได้เห็นทัศนียภาพของภูเขาไฟที่กำลังแสดงพลังความตื่นตัวอยู่ตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นมานับล้านๆปี คือ ภูเขาไฟ Sinabung และอีกฝั่งก็เป็น ภูเขาไฟ Sibayak
Sibayak volcano
ที่ Berastagi จะมีภูเขาไฟสองลูกตั้งอยู่ใกล้ๆกันเปรียบเสมือนพี่น้อง โดยมี Sinabung เป็นพี่เนื่องจากความฟิตของมัน ส่วน Sibayak เป็นน้อง สามารถที่จะเดินเทรคขึ้นไปที่ปากปล่องได้ทุกวันอีกด้วย
ถ้าใครสนใจจะขึ้นยอด Sibayak ในช่วงเช้า ควรจะติดต่อไกด์ท้องถิ่นล่วงหน้าหรือว่าจะไปกับทัวร์ที่เขาจัดไว้ก็ได้ครับ
Berastagi
เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 1,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และก็แน่นอนว่าด้วยความสูงระดับนี้อากาศเย็นสบายตลอดปีแน่นอน
ช่วงตกตอนกลางคืนอุณหภูมิก็แบบเย็นสบายๆเลยครับ ที่พักหลายๆแห่งที่นี่เลยไม่ติดแอร์เอาไว้
ถ้าได้ลงมาเดินเล่นตามถนนในเมือง ก็จะพบเลยว่าวิถีชีวิตคนไทยกับคนอินโดนีเซียว่าไปแล้วก็แทบไม่ต่างกันเลยครับ
ชา กาแฟ บรรยากาศร้านให้นั่ง หน้าตาของผู้คนก็แทบจะเหมือนกันเปี๊ยบเลยทีเดียว
พวกดอกไม้เมืองหนาวนี่ก็พบได้ตลอดทั้งเมืองเช่นเดียวกัน
เมื่อขับรถออกมาจาก Berastagi ช่วงแรกๆ ถนนหนทางยังไร้ซึ่งความน่าสนใจ
บรรยากาศข้างทางเป็นเพียงทุ่งหญ้าสลับกับหมู่บ้านคนอินโดที่คล้ายๆกับเมืองไทย
แต่ยิ่งเมื่อเรายิ่งออกจากเมือง เข้าใกล้สู่เขตทะเลสาบปลายทางของเราเมื่อไร
บรรยากาศจะเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราจะค่อยๆเขยิบเข้าสู่สันเขาของอดีตภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดลูกหนึ่งของโลก
จนถนนจะพาเราอยู่ที่ขอบสันพอดี และเมื่อนั้นเองที่เรามองออกไปข้างหน้า
โอ้ แม่จ้าววววว ผมร้องลากเสียง ว ไปไกลมากกกกก เมื่อตัวเองยืนตะลึงอยู่กับวิวเบื้องหน้า
ที่นั่นที่เราเห็นก็คือ ทะเลสาบโทบา (Lake Toba) ทะเลสาบกลางภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุด
ทะเลสาบโทบา คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมออกเดินทางมาค้นหามันถึงที่นี่
จากจุดๆนี้ แม้แต่คนอินโดเองก็ยังแวะจอดรถทุกคน เพราะมุมๆคือทางโค้งแรกที่เราจะเห็นวิวทะเลสาบได้แบบจะๆ ถ้าเดินทางมาจาก Berastagi เหมือนของผม
ไม่รู้จะนิยามคำว่าสวยยังไงดีครับ
ในชีวิตนี้ผมเคยเห็นทะเลสาบมามากมายในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นไบคาลในรัสเซีย คาราโคลในคีร์กิซสถาน หรือทะเลสาบแคสเปียน
แต่ทุกๆที่ล้วนไม่เหมือนกัน มีความงามในแบบเฉพาะของตนเอง
และทะเลสาบโทบา ก็เช่นเดียว ความยิ่งใหญ่ของที่นี่ทำให้ผมลืมทะเลสาบๆที่ผ่านๆมาในชีวิตไปชั่วขณะ
แต่ก่อนที่จะไปถึงยังเบื้องล่าง เราจะผ่านน้ำตกชื่อดังของประเทศอินโดนีเซียอีกแห่ง
น้ำตกแห่งนี้มีความสูงที่สุดของประเทศอินโดนีเซียเมื่อดูตามความสูงของต้นน้ำและปลายน้ำ หลายสำนักการท่องเที่ยวยกให้ที่นี่เป็น น้ำตกแองเจิลแห่งเอเชียอาคเนย์เลยครับ
น้ำตกนี้ผมต้องอ่านชื่ออยู่หลายรอบมากก็ยังงงว่าอ่านออกเสียงว่าอะไร จนต้องมาฟังคนท้องถิ่นออกเสียง
น้ำตกมีชื่อว่า ซิปิโซ-ปิโซ (Sipisopiso waterfall)
ต้นน้ำมาจากเขตเทือกเขาด้านบนที่มีภูเขาไฟสินาบุง ปลายน้ำไหลไปลงรวมกันที่ทะเลสาบโทบาเบื้องล่าง
สำหรับคนที่ขี้เกียจเดินแล้ว การได้ดูวิวจากด้านบนก็ถือว่าสวยมากแล้วละครับ
แต่ถ้าอยากเดินลงไปด้านล่างก็เผื่อเวลาขึ้นลงไว้ประมาณ 1.5 ชั่วโมง ทางเดินชันพอสมควร
คนที่ลงไปถึงด้านล่างก็จะได้สัมผัสสายน้ำได้อย่างใกล้ชิด
ขาลงสนุกเพราะเดินไปถ่ายรูปไป ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอขาขึ้น ก็แน่นอนด้วยความชันระดับเงยหน้ายังเมื่อย
น่องขาทั้งสองข้างเรายิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้ามีคนขับรถหลายคนก็ผลัดกันไป แบ่งกันขับให้หายเหนื่อยครับ
แต่ถ้าต้องขับรถอยู่คนเดียวไม่มีคนเปลี่ยนมืออะไรที่มีอยู่ในกระเป๋าพวกสเปรย์แก้ปวด Uniren spray ก็พ่นๆไปเลยนะครับ แล้วก็ใช้เวลานี้ให้ขาทั้งสองข้างได้ผ่อนคลายลดความตึงตัวก่อนจะเดินทางต่อไป
บรรยากาศรอบๆทะเลสาบ เป็นที่ปิคนิคของคนอินโดได้เป็นอย่างดี
คนไทยตั้งวงกินข้าวเหนียวส้มตำ แต่คนอินโดเปิบไก่ย่างกันครับ
หลังจากนี้ผมถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น Road trip อย่างแท้จริงแล้วละครับ
จุดเริ่มต้นของ Road trip ในเมดาน ถือว่าเริ่มต้นจากทะเลสาบโทบานี่แหละ
เมื่อออกจากน้ำตก Sipisopiso มา ให้ขับรถลงมาด้านล่างเพื่อไปยังพื้นด้านล่างก่อนนะครับ
ถนนทางลงเขาไปยังทะเลสาบเบื้องล่าง จะประกอบไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษจำนวนมากครับ
ทั้ง U S N L C ……
โค้งๆทั้งนั้น แต่ตรงนี้ดีอย่างตรงที่รถน้อย ก็เลยมีเวลาตั้งสติ
ถึง ณ จุดๆนี้
ผมบอกเลยว่าใครเป็นคนขับโชคร้ายที่สุด เพราะเขาจะต้องใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการเข้าโค้งตัว U หลายสิบโค้งครับ
ส่วนคนที่นั่งก็เปิดหน้าต่างออกรับลมแล้วก็นั่งมองทะเลสาบโทบาไปจนถึงด้านล่าง แบบนี้ก็ฟินสุดๆแล้ว
สุดปลายทางที่ทะเลสาบโทบา
– เป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกิดจากการระเบิดของ Supervolcano เมื่อราวๆ 70,000 ปีที่แล้ว
– ความยาวของทะเลสาบ 100 กิโลเมตร ความกว้างราวๆ 30 กิโลเมตร ใหญ่แบบสุดๆ แบบว่ามองไม่เห็นปลายขอบอีกด้านเลยครับ
– ตรงกลางของทะเลสาบมีเกาะที่ชื่อว่า Samosir มีหมู่บ้านของชาว Batak ให้ดูทั้งเกาะ บ้านรูปทรงประหลาดๆทั้งนั้น
– ตรงนี้เป็นทะเลสาบน้ำจืดทั้งหมด ตกปลามากินได้ ดินแถวนี้อุดมสมบูรณ์มาก ชาวบ้านปลูกนาข้าวข้างทะเลสาบกันเลยครับ
– ผมขับรถมาจากเมดาน มาถึงนี่ก็เอารถข้ามแพที่เมือง Parapat มายังฝั่งเกาะ Samosir เป็นเรือเฟอร์รี่คล้ายๆกับสมุยบ้านเรา มานอนค้างที่เกาะดูดาว ชิวริมทะเล ฟินแบบสุดๆ
– การเดินทางโดยทั่วไป ถ้าเรามีเวลาเหลือพอก็จะมาอาศัยรถสาธารณะก็ได้ครับ แต่ผมคิดว่าที่สะดวกที่สุดคือเช่ารถขับเอา จะไปไหนมาไหนได้ง่ายกว่ามาก และค่าเช่ารถรวมกับน้ำมันก็ไม่แพง
ทะเลสาบโทบา ถือว่าเป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะครับ
ความยาวจากหัวถึงหาง 100 กิโลเมตร ความกว้างประมาณ 30 กิโลเมตร มหึมามากครับ
ส่วนที่ผมอยู่เป็นส่วนปลายสุดของด้านบนทะเลสาบเสียด้วยซ้ำ
และนอกจากความใหญ่มโหฬารแล้ว ตรงกลางยังมีเกาะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ชื่อว่า Samosir ที่มีอะไรให้ไปค้นหาอีกมาก
เดี๋ยวพาไป ขับรถกันต่อก่อน
มาดูผลงานที่เราพึ่งผ่านมากันไป
ระหว่างทางก็จะเห็นวัยรุ่นอินโดมาจอดมอไซด์ชมวิวทะเลสาบแบบนี้ตลอดทาง
ก่อนจะไปไหนไกล ขอเล่าเรื่องของทะเลสาบโทบาอีกสักนิด
นักวิทยาศาสตร์พูดเอาไว้ว่า เมื่อตอนประมาณ 70,000 ปีที่แล้ว ยุคมนุษย์หินฟลินต์สโตน ตรงบริเวณนี้มีภูเขาไฟขนาดใหญ่โคตรๆตั้งอยู่ครับ (Supervolcano) ด้านล่างของภูเขาไฟคือมวลมหาลาวาที่เก็บความแค้นความอดกั้นไว้มหาศาลมาก
เมื่อถึงวันดีเดย์ มันก็ระเบิดปะทุออกมา ความรุนแรงระดับ 8 (Volcanic Explosivity Index) ถือเป็นการปะทุครั้งยิ่งใหญ่สุดของโลกในรอบ 25 ล้านปีที่ผ่าน (โอ้ มายก๊อด) ทำให้สภาพอากาศของโลกในเวลานั้นเกิดวิกฤตอย่างที่สุด มนุษย์ที่อาศัยอยู่และสัตว์ป่าในบริเวณนั้นล้มหายตายจากไปจำนวนมากจนเสี่ยงเข้าสู่ภาวะสูญพันธ์ในช่วงเวลานั้น แถมยังทำให้สภาพอากาศของโลกเกิดความวิปริตไปอีกหลายปี อุณหภูมิของทั้งโลกในเวลานั้นลดลงเกิดสภาพอากาศเย็นไปทั่วบริเวณในเวลาต่อๆมา
ความแรงของการระเบิดในครั้งนั้นส่งเถ้าธุลีไปไกลถึงประเทศมาลาวีในแอฟริกาเลยละครับ
แต่ปัจจุบันนี้ตรงนี้ปลอดภัยไปแล้วครับ เนื่องจากภูเขาลูกนี้มันระเบิดไปจนเกลี้ยงหมดแล้ว
ทิ้งมรดกเป็นทะเลสาบไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดูเป็นของต่างหน้า
ขึ้นชื่อว่าดินภูเขาไฟแล้วอุดมสมบูรณ์แบบสุดๆเพราะประกอบไปด้วยแร่ธาตุจำนวนมากที่ติดมาด้วย
เราจึงไร่นาจำนวนมากที่ตั้งอยู่ตามตีนเข้าใกล้กับทะเลสาบเบื้องล่าง
ภูเขาที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือสันของทะเลสาบนะครับ
ถัดจากภูเขาไฟไปด้านหลังก็คือที่ราบสูงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่
ใกล้จะถึงที่ทะเลสาบแล้วครับ
สิ่งแรกที่ผมมาถึงแล้วอยากทำก็คือการเอาร่างกายของตนเองมาสัมผัสกับน้ำในทะเลสาบโทบานี่แหละครับ
เพื่อจะพิสูจน์ว่ามันเป็นน้ำจืดหรือน้ำเค็ม อันนี้ลองเอาใส่มือแล้วยกซดเอง
สูดอากาศรับลมแปป
ชาวบ้านแถวนี้ก็ใช้ทะเลสาบนี้เพื่ออุปโภคและบริโภคไปเลย
น้ำจืดสำหรับคนแถวนี้จึงไม่ใช่ปัญหาเลย
พอดูวิวกันเป็นน้ำจิ้มก็ต้องขับรถกลับขึ้นมายังทางเดิมครับ
แล้วเดี๋ยวเราจะขับรถบนถนนเส้นทางที่ผมถือว่าสวยที่สุดของทริปนี้เลยทีเดียว
นั่นคือถนนเลียบทะเลสาบ
เมื่อเราขับออกมาตามเส้นทางหลักเรื่อยๆ หลังจากที่ฝ่าพ้นมาจากแนวต้นไม้แล้ว
ภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็จะคือทะเลสาบโทบาอันแสนยิ่งใหญ่
ที่ถนนจากจุดนี้ไปจะวิ่งเรียบไปกับทะเลสาบ ที่นี่คือไฮไลท์ของการเดินทางมาที่นี่เลยครับ
ถนนนเลียบทะเลสาบ
ถนนเส้นนี้อยู่ในระหว่างเส้นทางจากน้ำตก Sipisopiso มาที่เมือง Parapat
บรรยากาศฝั่งขวามือของเราจะเป็นทะเลสาบโทบาที่จะอยู่ข้างเราไปตลอดทางจนถึงเมือง Parapat
เนื่องจากถนนเส้นนี้ไม่ใช่เส้นทางหลักของการคมนาคม รถยนต์ทั่วไปจึงไม่เยอะ ขับรถได้อย่างสบาย
มีเพียงแต่รถของคนท้องถิ่น และวัยรุ่นอินโดที่มักจะขี่มอเตอร์ไซด์มาจับกลุ่มกันที่ริมทะเลสาบ
มองย้อนกลับไปด้านหลังคือเมือง Berastagi ที่เราพึ่งจากมา
ต้นไม้แถวนี้เป็นป่าสนหมดเลย เหมือนกับภาคเหนือของบ้านเราเลยค้าบ
ทุ่งหญ้าสีทองริมทะเลสาบ
ระหว่างทางจะมีจุดให้แวะพักถ่ายรูปสวยๆอยู่เป็นระยะๆครับ
ถนนมีความกว้างขนาดสองเลนที่สวนกันได้พอดี แต่ด้วยความที่รถน้อย เราจึงขับรถได้อย่างไม่ลำบากนัก
ขับได้ 1 กิโลเมตร แวะพักอีก 10 นาทีเพื่อดูวิว
เพราะว่ามันสวยตลอดเส้นทางจริงๆ
ใครทำแบบผม ต้องคุมเวลาให้ดี ไม่งั้นเดี๋ยวไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะ Samosir ไม่ทันนะครับ
แสงของพระอาทิตย์กับเงาของภูเขา
เกาะ Samosir ที่ผมกำลังจะข้ามเรือเฟอร์รี่ไปในตอนเย็นของวันนี้
ช่วงเวลาประมาณสามโมงกว่าๆจะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มทำมุมกับทะเลสาบพอดี
ถ้าใครหิวข้าว หิวน้ำ ระหว่างทางก็จะมีร้านอาหารของชาวบ้านที่ตั้งอยู่
ให้เราแวะเข้าไปอุดหนุนได้เลย ในราคาที่เป็นกันเองครับ
เวลาจอดแวะพักถ่ายรูปก็แบบนี้ครับ หาไหล่ทางเอา
ถนนช่วงนี้ ผมบอกได้เลยว่าสวยระเบิดมากครับ
เพราะทางแทบที่จะวิ่งตีคู่ไปกับทะเลสาบโทบาตลอดเวลา มีจุดถ่ายรูปให้ต้องแวะแทบจะทุกๆห้าถึงสิบนาที
ฝั่งซ้ายเป็นภูเขา ฝั่งขวาเป็นทะเลสาบไม่มีอะไรที่จะฟินยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ววว
ท่าเรือเฟอร์รี่
ต้องดูดีๆนะครับ เพราะว่าจะเอารถข้ามหรือเอาคนข้าม เพราะว่าท่าเรืออยู่กันคนละจุด
ที่เมือง Parapat จุดข้ามเฟอร์รี่หลัก 2 จุด ต้องเช็คตำแหน่งให้ดีว่าไปที่ไหนนะครับ
Tiga Raja Harbour (GPS : 2.661183, 98.930963)
อันนี้เป็น Passenger ferry อย่างเดียว รถขึ้นไม่ได้นะครับ
นอกจาก Tuk Tuk แล้วยังมีเรือที่ออกจาก Tiga Raja Harbour เพื่อไปที่ท่าเรือ Simanindo ที่อยู่ด้านเหนือของเกาะได้อีกครับ
ท่าเรือ Ajibata (GPS : 2.654073, 98.934064)
ของบริษัทที่ชื่อว่า Ferry KMP ครับ อารมณ์จะคล้ายๆเรือเฟอร์รี่ที่สมุยนะครับ คือเอารถไปจอดด้านล่างแล้วคนขับก็ออกมาเดินเล่นได้
อันนี้เป็น Car ferry + Passenger ferry ครับ คือรถก็ขึ้นได้ คนก็ขึ้นได้
ปลายทางจะอยู่ที่ ท่าเรือ Tomok, Tuk Tuk
เรือออกจากท่าแล้วครับ
ผมขับรถชิวมากไปหน่อยกว่าจะมาถึงก็เรือรอบเวลา 17.45 น. แล้วครับ
ถ้าเรามีเวลามากกว่าก็ไม่ต้องรีบเร่งขนาดนี้ก็ได้ คือนอนพักที่ Parapat ไปก่อนแล้ววันรุ่งขึ้นค่อยข้ามฟากก็ได้เช่นเดียวกันครับ
คณะดนตรีชาวอินโดที่มาเล่นดนตรีสดเปิดหมวกกันตรงนี้
เรียกเสียงเฮฮาจากบรรดาเหล่าผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี
ช่วงนี้ไม่ต้องให้สมองคิดอะไรมากครับ
ปล่อยให้มันไหลไปตามจังหวะลมที่แล่นผ่านเรือไปนี่แหละ
ยิ่งคนที่ทำงานหนักๆมาตลอด การใส่เกียร์ว่างให้ตัวเองบ้างคงเป็นอะไรที่ดีไม่น้อย
เรือจะใช้เวลาในการข้ามฟากประมาณ 1 ชั่วโมง
ทุกคนก็จะพร้อมใจกันลงมาจากรถและเล่นดนตรีฟังเพลงกันไปแบบชิวๆระหว่างที่ล่องอยู่กลางทะเลสาบ
ตรงเส้นกลางๆที่เห็นกลางภาพคือถนนสายเลียบทะเลสาบที่ผมพึ่งขับรถผ่านมาไม่นานนี้เองครับ
หลังจากขับรถมาจากเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน
การได้มานั่งดูวิวบนเรือแบบนี้ก็ถือว่าลงตัวเลยทีเดียว
เฮฮาปาร์ตี้กันแบบสนุกเลยครับ พระอาทิตย์กำลังตกดินทำมุมลับขอบฟ้า
ก็ดูแสงทไวไลท์กันตรงนี้ไปเลย ภาพแสงสุดท้ายก่อนลาจาก เจอกันใหม่วันพรุ่งนี้
เบื้องหน้าคือเกาะ Samosir จุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้
หลังจากคนขับเรือเห็นผมไปด้อมๆมองๆบนดาดฟ้าเรือหลายครั้ง
เขาก็เลยชวนผมไปนั่งเป็นเพื่อนด้วยซะเลย
ถึงจะคุยกันไม่รู้เรื่องเลยสักคำแต่มิตรภาพที่แผ่กระจายออกมานั้นสัมผัสได้ยิ่งกว่าอะไร
วันที่สาม
ตอนที่มาถึงตอนกลางคืนมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น
แต่พอมาถึงตอนเช้าฟ้าเปิดแสงเริ่มมา โห สวยมากครับ
ผมนอนที่ Mas Cottage ห้องพักแต่ละห้องตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบเลย ตื่นมาไม่ต้องเดินไปไหนแค่มองออกไปจากห้องก็แจ่มมากแล้ว
ที่พักที่ Mas Cottage จะมีให้เลือกหลายแบบ
ถ้าใครจะได้บรรยากาศแบบเรียลๆก็ไปนอนที่ห้องพักที่ถูกสร้างในสไตล์บ้านของชาวบาตัคได้
หรือไม่ก็ไปเลือกห้องแบบธรรมดาก็มีให้บริการเหมือนกัน
แต่ที่มีเหมือนกันทุกห้องคือ เราจะได้รับบรรยากาศริมทะเลสาบแบบชั้นริงไซด์เหมือนกันหมดครับ
ตอนเช้าที่นี่บรรยากาศเหมือนพวกเกาะเล็กๆในภาคใต้บ้านเราครับ
ไม่มีความวุ่นวายใดๆทั้งสิ้น ชาวบ้านอยู่กันอย่างเงียบสงบ
ราวกับว่าเหมือนเมืองไทยเมื่อสัก 30 ปีที่แล้วก็ว่าได้
อันนี้เป็นหลังคาของห้องพักทุกห้องที่นี่จะเป็นสไตล์บาตัคทั้งหมด
ดูกลมกลืนไปกับต้นมะพร้าวและทะเลสาบที่อยู่ด้านหน้า
วิถีชีวิตของชาวบ้านแถบนี้ก็ขึ้นอยู่กับการประมงน้ำจืดบนทะเลสาบโทบาที่เขาเกิด
ห้องนอนทุกห้องอยู่ติดกับทะเลสาบทั้งหมด
มองออกไปนอกหน้าต่าง ถ้าเป็นตอนกลางคืนเห็นดาว ตอนกลางวันก็เห็นทะเล
ในวันที่ 3 ของการเดินทาง
สำหรับการขับรถบนเกาะ Samosir มีทางเลือก 2 ทางครับคือ
- จะขับรถให้ครบรอบเกาะ แล้ววนกลับมาขึ้นเรือที่ท่าเรือ Tomok เหมือนเดิมเพื่อกลับไปยัง Parapat แล้วก็กลับเมดานไป ซึ่งวิธีการนี้ต้องคุมเวลาให้แม่นมาก เพราะเรือเฟอร์รี่ที่จะข้ามเกาะออกเป็นเวลานะครับ
- ขับเที่ยวครึ่งเกาะ แล้วก็วนออกอีกด้านของทะเลสาบ ก่อนจะขับรถไปตามไปทางผ่านเมือง Berastagi และกลับเมดานทางเดิมตามขามา ซึ่งผมได้เลือกวิธีนี้เพราะ เราจะได้ไปที่หอชมวิว Tele tower และได้ถือโอกาสขับรถอีกฟากของทะเลสาบไปด้วยเลยครับ
ออกจากที่พักมา ถนนในเกาะก็วิ่งลัดเลาะไปตามขอบทะเลสาบแบบนี้เลยครับ
บ้านเรือน ที่พัก หรือโรงแรมแทบจะทุกแห่งเลยก็ว่าได้ เป็นวิวประเภทที่เรียกว่าด้านหลังเป็นภูเขา ด้านหน้าเป็นทะเลทั้งหมด
ใครเป็นผู้โดยสารถือว่าโชคดีที่สุดจะได้ดูวิวจนอิ่มไปเลย
นอกเหนือจะทะเลสาบโทบาแล้ว
บนเกาะ Samosir ในส่วนที่เป็นที่ราบตรงกลางเกาะก็จะเป็นทุ่งนากสิกรรมของคนท้องถิ่นที่นี่
บรรยากาศไม่ต่างจากในบ้านเรามากเท่าไร
บนเกาะ Samosir นอกจากส่วนของกลิ่นอายธรรมชาติที่ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วเกาะแล้วนั้น
เอกลักษณ์ของวัฒนธรรมก็เป็นอีกอย่างที่ไม่เหมือนใคร
พวกบ้านเรือนหลังจากจะเป็นแบบนี้ครับ หลังคาแหลมๆ บ้านยกสูงคล้ายๆในไทยเพื่อไม่ให้ร้อน มีบันไดเข้าทางด้านหน้า
ถ้ามองดีๆจะเห็นว่าหลังคาบ้านด้านหลังจะแหลมกว่าด้านหน้า
และส่วนมากผู้ใหญ่ก็จะนอนกันที่ด้านหน้า (บริเวณที่หลังคาต่ำกว่า) ในขณะที่ลูกหลานจะนอนที่ด้านหลัง โดยมีความความหมายโดยนัยก็คืออยากให้ลูกหลานในอนาคตได้มีโอกาสเจริญก้าวหน้าเติบใหญ่กว่ารุ่นพ่อแม่ในปัจจุบันนั่นเองครับ
และถ้าได้มองเห็นทางเข้าก็จะเห็นว่าประตูจะเล็กและต่ำมาก เวลาแขกเข้าบ้านก็จะต้องก้มหัวเพื่อโน้มตัวเข้าไปทุกคน มีความหมายโดยนัยก็คือแขกที่เข้ามาบ้านจะต้องก้มหัวให้ความเคารพแก่เจ้าบ้านไปโดยปริยายครับ
ตรงนี้เรียกว่า Stone Chair of King Siallagan (Batu Kursi Raja Siallagan)
GPS : 2.679024, 98.836680
บนเกาะ Samosir ยังมีสถานที่แปลกๆอีก เนื่องจากตรงนี้เคยเป็นอาณาจักรโบราณมาก่อนครับ มีกษัตริย์ มีขุนนาง มีทหาร มีชาวบ้านอะไรก็ว่าไป ตรงนี้เป็นเหมือนกับเก้าอี้หินของพระราชาสมัยเมื่อกว่า 300 ปีที่แล้ว ที่เอาไว้สำหรับจัดประชุมขุนนางบริหารบ้านเมืองอะไรแบบนี้
เดินถัดเข้าไปอีกจุดหนึ่งจะเป็นเหมือนกับศาลที่เอาไว้ตัดสินคดีความ
มีแท่นประหาร มีแท่นหินวางอยู่ตรงกลาง เวลาจะลงทัณฑ์ใครก็เอาคนๆนั้นมานอนแบบนี้ครับ
แล้วก็ฉับลงไปดังๆ
อันนี้เป็นแท่นอีกอันที่อยู่ที่พื้นก็ด้วยหลักการเดียวกัน
บ้านสไตล์บาตัคที่จะเห็นไปทั่วเกาะ Samosir ครับ
มองที่หลังคาจะเห็นว่าด้านหน้ากับด้านหลังของบ้านจะสูงและแหลมไม่เท่ากัน
รูปปั้นหินแบบนี้เป็นของอาณาจักรในสมัยโบราณหมดเลยครับ
ท่าเรือ Simanindo
อันนี้เป็นท่าเรืออีกแห่งที่อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ
เรือ Passenger ferry ที่มาจาก Parapat จะมาจอดที่นี่อีกแห่งครับ
พิพิธภัณฑ์ Museum Huta Bolon Simanindo
(GPS : 2.752247, 98.744614)
ตอนผมมาถึงที่นี่ตกใจเลยครับ เพราะไม่มีใครเลย อย่างกับสถานที่ร้าง
มันดูไม่มีความเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวแม้แต่นิดเดียว เคาท์เตอร์เก็บตั๋วก็ไม่มีใครอยู่
ก็เลยงงๆ ว่าที่นี่มันมีอะไรกันแน่ เพราะบ้านทุกหลังก็ปิดหมดเดินเข้าไปดูไม่ได้ครับ
แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยบ้านตรงนี้มันก็สวยดี ถ่ายรูปเอาไว้ก็โอเค 555+
ระหว่างที่ขับรถมาจะมีจุดแวะให้พักเรื่อยๆเลยนะครับ
บางช่วงทางก็จะวิ่งเรียบริมทะเลสาบ เราก็จอดรถมาเดินดูวิถีชีวิตของชาวบาตัคได้
คนที่ทำนาข้าวกันริมทะเลสาบเลยครับ น้ำแถวนี้เป็นน้ำจืดทั้งหมด พวกพืชพรรณตามธรรมชาติก็เลยโตได้อย่างดี
นั่งมองชาวบ้านใช้ชีวิตตามวิถีประจำวัน
มีทั้งทะเล มีทั้งภูเขา ถือว่าสวยครบเครื่องเลยครับเกาะ Samosir
ภูเขาด้านหน้าก็คือบริเวณที่ตั้งของน้ำตก Sipisopiso ที่ไปกันเมื่อวานนี้เองครับ
Pantai Batu Hoda (Batu Hoda Beach)
(GPS : 2.760127, 98.725414)
ชายหาดที่มีชื่อเสียงสุดของเกาะ Samosir จะอยู่ที่ด้านเหนือสุดของเกาะ
หาดทรายที่นี่อาจจะไม่ได้มีเม็ดทรายที่ละเอียดมากนัก แต่น้ำทะเลสาบที่นี่สะอาดและใสพอสมควร
แต่เหนือสิ่งอื่นใดความเงียบสงบปราศจากการรบกวนคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับใครบางที่กำลังมองหาสถานที่เที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวน้อยๆและไม่ค่อยถูกรบกวนจากการท่องเที่ยวกระแสหลักครับ
ที่นี่ไม่มีเต๊นท์ ไม่มีเสื่อ ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีคนขายของ หรือเรียกได้ว่าแทบไม่มีอะไรเลยก็ว่าได้ ยกเว้นแค่หาดทราย ทะเลสาบ และภูเขาเท่านั้นเอง
ขับรถไปกันต่อครับ
มาถึงตอนนี้ถ้าไม่มีรถขับ ถามว่าเที่ยวได้ไหม
ก็ตอบเลยว่าสามารถเที่ยวได้ครับ แต่คิดว่าน่าจะลำบากพอสมควรเลย
เพราะระบบการขนส่งสาธารณะของที่นี่ถือว่าลูกทุ่งมาก ถ้าเวลาจำกัดก็คงไม่แนะนำ
แต่ถ้ามีเวลาเหลือเฟือ ไม่ติดขัดเรื่องการเดินทาง ไปแบบชิวๆ ค่ำไหนนอนนั่นได้ ก็ลุยโลดครับ
ตอนที่อยู่ที่เกาะสุมาตรามีเรื่องที่ผมแปลกใจมาก
เพราะอินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่ชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก
ถ้าไม่นับบาหลีที่เกือบจะเป็นฮินดูแทบจะทั้งเกาะ ก็มีส่วนของสุมาตราตอนเหนือที่ส่วนใหญ่เป็นชาว Batak เป็นคริสเตียนเป็นส่วนใหญ่ มีจำนวนโบสถ์มากกว่ามัสยิดมาก อันนี้แบบว่าไม่เคยรู้มาก่อน
เมนูอาหารของที่นี่เขาจะมี Code name รู้จักกันในหมู่คนท้องถิ่นครับ ถ้าได้ขับรถผ่านจะเห็นแบบตลอดทางคล้ายๆกับป้ายอาหารตามสั่งของบ้านเรา
B1 ย่อมาจาก Biang แปลว่าเนื้อหมาจ้า
B2 ย่อมาจาก Babi เพราะมี B สองตัว แปลว่าเนื้อหมู
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าใครได้ไปสุมาตราตอนบน ก็อย่าลืมไปชิมเนื้อหมาของเขาละกัน
ถ้าจะขับรถทั้งเกาะคงต้องใช้เวลาเกือบวันพอดีนะครับ
ผมขับรถแค่ครึ่งเกาะก็ใช้เวลาไปจะครึ่งวันแล้วครับ
ระยะทางอาจจะดูไม่มากนัก แต่เสียเวลาไปกับการแวะเดินเล่นแต่สถานที่พอสมควรเลยทีเดียว
ก็ช่วยไม่ได้ เพราะวิวมันสวยมากนั่นเอง
ตอนนี้ผมกำลังจะขึ้นไปที่ Tele tower ที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวทะเลสาบที่สวยที่สุดตามที่คนท้องถิ่นบอก
ช่วงนี้ถนนหนทางจะเปลี่ยนบรรยากาศแล้วครับ จากริมทะเลสาบมาเป็นทางคดโค้งเหมือนงูเรื้อยบนภูเขาแทน
ใครเปิดแอร์อยู่ก็ปิดแอร์เปิดหน้าต่าง รับลมพร้อมกับสูดโอโซนเข้าไปลึกๆให้ชุ่มปอดทั้งสองข้าง
นาข้าวสีเขียวผืนใหญ่ของชาวบาตัค
ถ้าหันไปทางด้านซ้ายจะเป็นที่ราบสูงขนาดใหญ่ที่เป็นบริเวณพื้นที่ขอบสันของทะเลสาบ
ช่วงนี้นาข้าวกำลังเขียวขจีดีจริงๆครับ
ทางจะวนไปวนมา แต่ว่าขับไม่ยากมากนะครับ
อารมณ์เส้นทางประมาณทางขึ้นดอยแม่สลองที่จังหวัดเชียงรายของบ้านเราครับ
เมื่อขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ วิวทะเลสาบก็จะเริ่มปรากฎกาย
อันนี้เป็นมุมของทะเลสาบด้านตะวันตกครับ ของที่ขับรถผ่านมาเมื่อวานเป็นด้านตะวันออก
ที่เห็นแผ่นดินด้านหลังคือเกาะ Samosir ที่ผมพึ่งขับรถผ่านมา
ชิวๆกินบรรยากาศครับ
จดจำเอาไว้ในใจครับทะเลสาบโทบา
Tele Tower
(GPS : 2.552208, 98.640164)
หอคอยชมวิวทะเลสาบโทบารวมทั้งเกาะ Samosir ที่คุ้มค่ากับความพยายามในการดั้นด้นมาถึงด้วยประการทั้งปวง
ในถนนช่วงที่ต่อออกจาก Tele tower มาแล้ว
เราก็จะขึ้นมาสู่ที่สันของทะเลสาบอีกด้านกันแล้วครับ
ระหว่างทางด้านนี้เราจะไม่เห็นทะเลสาบ แต่ก็จะผ่านหมู่บ้านท้องถิ่นของชาวอินโดนีเซียแทน
ผมเคยไปด้านเกาะชวากับบาหลีมาแล้ว ต้องบอกเลยว่าฝั่งเกาะสุมาตราจะให้อารมณ์และบรรยากาศที่แตกต่างกันมากครับ
ฝั่งสุมาตราจะดูเป็นแบบชาวบ้านมากๆครับ ไม่มีกลิ่นอายของความเป็นเมืองท่องเที่ยวเลยแม้แต่นิดเดียว
ชาวบ้านที่นี่เลยไม่คุ้นเคยกับการชาร์ตเงินนักท่องเที่ยวเท่าไร ทุกอย่างเลยเป็นเรทเดียวกันหมด
ซึ่งต่างจากฝั่งเกาะชวาหรือบาหลีที่อะไรก็ดูจะเป็นเงินเป็นทองไปซะหมดครับ
สถานที่สุดท้ายใน Road trip เส้นทางนี้คือที่
Taman Simalem Resort
(GPS : 2.888024, 98.511970)
ผมอยากให้การเดินทางที่ทะเลสาบโทบาเป็นทั้งจุดเริ่มของแรงบันดาลใจและจุดสิ้นสุดของการเดินทางที่นี่ครับ
รีสอร์ทแห่งนี้เปิดให้คนนอกเข้ามาเที่ยวเล่นได้ แต่ไม่ฟรีครับ ต้องมีค่าบัตรผ่านทาง
ค่าบัตรก็นับเป็นรถยนต์ต่อคันที่จะผ่านทางเข้าไป ผมขับรถเก๋งเขาก็คิดประมาณ 500 บาทไทยครับ
รีสอร์ทนี้ใหญ่มากบอกเลยครับ แทบจะกินภูเขาไปเป็นลูกๆ เจ้าของน่าจะเป็นอภิมหาเศรษฐี
อย่างที่เห็นในรูปนี้คือเวทีกลางแจ้งที่เอาไว้จัดงานพิธีต่างๆ โดยที่จะมีฉากหลังเป็นทะเลสาบโทบาอันยิ่งใหญ่
ในรีสอร์ทนี้ถ้ามีรถขับก็ไปไหนมาไหนได้อิสระเลยครับ
เขาจะให้แผนที่เรามาชุดนึง แล้วก็ขับรถเล่นได้เลย
และที่ต้องบอกก่อนคือรีสอร์ทใหญ่มากกกกก ตอนนั้นผมมีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ไปได้ไม่ครบทุกจุดเลยครับ
ถ้าจะเอาให้ดีก็เผื่อเวลาไว้อย่างต่ำ 2-3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
การได้อยู่ในสถานที่ๆได้มองเห็นอะไรไกลสุดลูกหูลูกตาคือความสุขที่คาดไม่ถึง
แสงสุดท้ายของทะเลสาบโทบาในการเดินทางครั้งนี้
พาหนะที่นำทางและคู่ใจมาตลอดสามวัน
หันมาดูแบบสีเขียวๆกันบ้าง
ณ วินาทีนี้ อยากจะขอหยุดเวลาไว้ ณ ตรงนี้
มาถึงตรงนี้ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะได้เห็นความสวยงามของทะเลสาบโทบากันไปพอสมควรแล้วละ
ที่โทบาอาจจะไม่ใช่ทะเลสาบที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาก็จริง
แต่ทะเลสาบโทบาก็มีหลายๆสิ่งที่ทะเลสาบอื่นๆไม่มีครับ โดยเฉพาะเรื่องของวัฒนธรรมและอัธยาศัยของคนสุมาตราที่คงมีเพียงแค่ที่นี่ที่เดียวในโลกเท่านั้น
ทะเลสาบโทบายังมีอีกหลายๆมุมที่มีความงดงามและผมไม่มีโอกาสได้ไปถึง
หลังจากนี้ไปผมคงได้เห็นคนไทยที่เริ่มไปเที่ยวเมดานและทะเลสาบโทบากันมากขึ้นแล้วละ
ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ 🙂
ด้วยความที่เดินทางมาได้ง่ายมาก
ทำให้การจัดสรรเวลาเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินฝัน
สำหรับเหล่าคนทำงานทั่วๆไปที่มีวันหยุดและวันลาตามเทศกาล
เมดานหรือทะเลสาบจึงเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
มาถึงฉากสุดท้าย ทำไมต้องมา “เมดาน”
1. ข้อนี้เป็นอะไรที่ตรงไปตรงม
2. และก็เพราะที่มันอยู่ใกล้ มันเลยเดินทางไม่นาน แค่ประมาณ 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพเท่านั้นเ
3. มันมีภูเขาไฟครับ สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นภูเขา
4. ค่าครองชีพถูกมากกกก คือผมพยายามจะใช้เงินให้เยอ
5. วิธีการเที่ยวที่เรียกว่าปร
ผมอยู่ที่นี่ 3 วันกับอีก 3 คืน ถ้าไม่นับค่าเครื่องบินใช้เ
ภาคผนวก
ค่าใช้จ่าย
ค่าเครื่องบิน 4,100 บาท
ค่าที่พัก 2 คืน 1,000 บาท
ค่าเช่ารถ 3 วัน 400 (หาร 3 แล้ว)
ค่าน้ำมันรถ 3 วัน 200 (หาร 3 แล้ว)
ค่าอาหาร 3 วัน 1,000
ค่าซิมโทรศัพท์ 400
ค่าบัตรผ่านทางต่างๆ 400 บาท
รวมๆก็ประมาณ 7,500 บาทครับ
ขอให้ทุกๆคนเดินทางปลอดภัยนะครับ
หากใครสนใจอุปกรณ์การเดินทาง เป้แบคแพค เสื้อแจ็คเก็ตกันลมกันฝน เสื้อขนเป็ด ลองจอน ถุงมือกันหนาว
สามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าได้ที่ ร้านของพวกเรา The Puffin House