-
ออกกำลังกาย
เรื่องออกกำลังกายจริงๆ ก็แล้วแต่คนน้า แต่สำหรับเรา เราเตรียมตัวออกกำลังกายก่อนขึ้นเขาประมาณ 2 เดือน โดย
– วิ่งแทบทุกวันเลย วิ่งวันละ 1 ชั่วโมง
– ฝึกเดินขึ้นคอนโด 35 ชั้นพร้อมแบกเป้เท่าน้ำหนักจริง
– เลิกใช้ลิฟท์ ใช้บันไดแทน
– squat วันละ 100 ที ซึ่งเรา squat ไม่พอ เพราะขาลงมันล้ามาก รู้สึกขาพัง เดินเป็นเป็ดเลย
ผลจากการออกกำลังกายทำให้ขาขึ้นเขามันโอเคเลยนะ แต่ขาลงนี้แบบขาล้ามาก แนะนำ squat ให้มากกว่านี้ เพื่อนเราทำ squat วันละ 500 ครั้ง เดินลงสบายๆ ไม่ปวดล้าขาเลย
2. อาการแพ้ที่สูง
การเดินทางขึ้นเขาโคตาคินาบาลูนั้นต้องระวังเรื่องอาการแพ้ความสูงด้วย เพราะมันเป็นเขาที่มีความสูงมากกว่า 2,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล ด้วยความกลัวว่าจะแพ้ที่สูงเราเลยกินยา Acetazolamide หรือที่เรียกว่า Diamox กันไว้เลย
3. เป้ยิ่งเบา ชีวิตยิ่งดี๊ดี
อย่าแบกของไปเยอะ เอาเท่าที่จำเป็น ไม่งั้นเหนื่อยแย่ คือยิ่งช่วงกิโลเมตรหลังๆ จะเหนื่อยและล้ามากแทบอยากโยนกระเป๋าทิ้งเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่อยากแบกเองก็จ้างลูกหาบได้ และถ้าอยากลองแบกเองดูก่อน แล้วค้นพบว่ามันไม่ไหวก็จ้างไกด์แบกให้ระหว่างทางได้ แต่ราคาจะเท่ากับจ้างลูกหาบแบกมาตั้งแต่ด้านล่าง และของที่จำเป็นมากๆขาดไม่ได้ต้องเอาไปด้วย ได้แก่
- ไฟคาดหัว สำคัญมากๆ เพราะต้องออกเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาตอนตีสอง ซึ่งมืดมาก ทางก็ชันมากด้วย
- ถุงมือกันลมกันน้ำดีๆสักคู่ เพราะช่วงที่เราไปฝนตก และบางจุดที่ชันมากๆ ก็ต้องไต่เชือก
- อากาศบนยอดจะหนาว+ลมแรงมาก เราใส่เสื้อ base layer, เสื้อ fleece, เสื้อ down jacket และเสื้อกันลมกันฝน
- รองเท้า trekking กันน้ำ
- ไม้ trekking pole
- น้ำ คือจริงๆระหว่างทางก็มีน้ำให้เติมนะ แต่เป็นน้ำที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีใดๆ คือถ้าเป็นคนท้องเสียง่ายก็เอาที่กรองน้ำไปด้วย ส่วนบนที่พักที่ Laban Rata จะมีแต่น้ำร้อนให้เติมนะ อาจจะเตรียมขวดน้ำที่ใส่น้ำร้อนได้ไปด้วย
- อาหารมื้อเที่ยง ไกด์จะเตรียมให้เรา แต่เราต้องแบกใส่เป้ขึ้นไปเอง มีแซนวิช ไข่ต้ม ปีกไก่ บิสกิตสตรอเบอรี่ และแอปเปิ้ล ยิ่งรีบกินได้ยิ่งดี เพราะมันหนักมากกกก มากจนอย่างเขวี้ยงทิ้ง!!!
4.เรื่องเสื้อผ้าหน้าผม
ไม่รู้มีใครคิดเหมือนเรามั้ย แฟชั่นเสื้อผ้าเดินเขามันไม่ชิคเลย แต่ถ้ามองเรื่องประโยชน์และคุณสมบัติแล้วก็ต้องยอมจริงๆ รู้จักเลือกเอามามิกซ์แอนด์แมตช์ให้ดีก็สวยได้ ในการขึ้นเขาคินาบาลูนั้นจะแบ่งการแต่งตัวออกเป็นสองช่วง คือ ช่วงแรกเป็นช่วงเดินขึ้นเขาไปยังที่พัก ซึ่งอากาศจะไม่หนาวมาก ใส่เป็นเสื้อกับกางเกงที่ระบายความชื้นได้ดี แห้งเร็ว ช่วงที่สองเป็นการเดินขึ้นยอดจะหนาวและลมแรงมาก อาจจะมีฝนตกด้วย เราใส่เสื้อ base layer, เสื้อ fleece, เสื้อ down jacket ,เสื้อกันลมกันฝน และใส่หมวก ไฟคาดหัว ถุงมือ ตอนเดินขึ้นร้อนไปนิด แต่อยู่บนยอดกำลังดีเลย;)
ส่วนเรื่องหน้านั้น อาจจะทาครีมกันแดดช่วยหน่อย แต่ธรรมชาติของเพศหญิงเป็นเพศที่รักสวยรักงาม ก็อาจจะทาแป้ง แนะนำแป้งพวกแป้งฝุ่นนะ สบายหน้ากว่าพวกแป้งผสมรองพื้น เวลาเช็ดเหงื่อก็ไม่เป็นคราบเท่า และเขียนคิ้วสักนิดพอหอมปากหอมคอ เพราะคิ้วเปรียบเสมือนมงกุฎของใบหน้า คิ้วมีความสำคัญกับใบหน้ามากกกก ขนาดว่าถ้าให้เลือกแต่งหน้าได้แค่หนึ่งอย่างบนใบหน้า ผู้หญิงส่วนใหญ่น่าจะตอบว่า ยังไงก็ขอเขียนคิ้ว เพราะการไม่มีคิ้วทำให้บางทีเราดูเหมือนป่วยๆไงไม่รู้ แต่การแต่งหน้าจริงๆก็แล้วแต่ความมั่นใจของแต่ละคน ถ้าใครมั่นหน้าเราว่าหน้าสดไปเลยมันสบายหน้าดีนะ และก็สะดวกตรงที่ไม่ต้องแบกเครื่องสำอางค์ใดๆขึ้นเขา แต่ถ้าไม่มั่นก็แต่งไปบ้างเหอะค่า;)
5. เลือกเตียงล่าง มาถึงก็ล้มตัวลงนอนได้เลย><
เวลาเลือกเตียงในห้องพักที่เป็น Dorm ที่ Laban Rata มันจะเป็นเตียงสองชั้น ถ้าเลือกได้แนะนำให้เลือกนอนเตียงล่าง เพราะเวลาไปพิชิตยอดกลับมา มันจะเหนื่อยมากจนไม่มีแรงปีนขึ้นเตียง555 จะได้มาถึงห้องปั๊บก็ล้มตัวนอนบนเตียงได้เลย;)
6. สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเด็ดขาด
ก่อนจะพิชิตยอด ที่ลืมไม่ได้เลยนะ สำคัญมากๆ คือบัตร climbing permit เพราะข้างบนจะมีจุด check point ตรวจบัตรก่อนขึ้นไปพิชิตยอด และน้ำ เพราะจากที่พักไปถึงยอดจะไม่มีน้ำให้เติมระหว่างทางแล้วนะ ลืมสองอย่างนี้คือจบชีวิตค่ะ
7. Follow the white rope
เดินตามเชือกสีขาวไว้ บางจังหวะที่ชันมากๆ ต้องจับเชือกสีขาวแล้วไต่ขึ้นไป จังหวะที่ไต่ขึ้นไปนั้นเหนื่อยมากกก และขาลงตรงไหนดูท่าไม่ค่อยจะดีก็จับเชือกสีขาวไว้ เพราะบางทีฝนตก ทางจะลื้น โอกาสกลิ้งสูง><
8. เหนื่อยก็แค่นั่งพัก
ข้อดีของการนั่งพักคือทำให้เราได้หันกลับไปมองที่ๆเราเดินผ่านมา มองว่าเรามาได้ไกลแค่ไหน ได้นั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดาวเต็มฟ้า เห็นทางช้างเผือกชัดมาก สวยมากจริงๆ แต่ไม่มีแรงถ่ายรูป ใช้ตาบันทึกภาพความทรงจำนี้ไปก่อน และวิวยามพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยจนมองแล้วหายเหนื่อยไปแป๊บหนึ่ง
9. ค่อยๆ ก้าว หาจังหวะการเดินของตัวเอง และถ้ามองยอดแล้วท้อ เราจะมองแต่เท้าตัวเองนะ
การเดินขึ้นเขาโคตาคินาบาลูมันเหนื่อยมากจริงๆนะ คือมีแต่ทางเดินขึ้นรัวๆ บันไดขั้นหนึ่งก็สูงมาก คือมองเห็นขั้นบันไดยาวๆแล้วหมดกำลังใจมาก มองแต่เท้าตัวเองแล้วค่อยๆเดินไป เหมือนกับเป็นการอยู่กับปัจจุบัน ไม่สนใจอนาคตใดๆทั้งสิ้น 555
10. ใช้ใจพากายขึ้นไป:)
สำหรับเราที่เคยขึ้นเขาแค่ภูกระดึงกับดอยหลวงเชียงดาวนั้น การเดินขึ้นพิชิตยอดโคตาคินาบาลูมันเหนื่อยสุดในชีวิตเลย มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง แต่เชื่อเรา ใจพากายขึ้นไปพิชิตยอดได้;)
ภาพนี้เป็นภาพแห่งความภาคภูมิใจเลย คือรักป้ายนี้มาก แทบอยากจะกอดป้าย จริงๆก็ไม่ขนาดนั้นหรอก มันก็แค่ป้ายๆหนึ่ง ที่ดีใจไม่ใช่การเห็นป้ายที่บอกว่าเราขึ้นมาได้สูงแค่ไหน แต่ดีใจที่เราต่อสู้กับใจตัวเองจนขึ้นมาถึงยอดนี้ได้ ไม่ท้อไปซ่ะก่อน:)