“สตูล” จังหวัดสุดท้ายของภาคใต้ฝั่งอันดามันของประเทศไทย จังหวัดนี้ไม่ต้องมีใครบรรยายสรรพคุณอะไรอีกแล้วครับ เพราะความงามทางทะเลของจังหวัดนี้โด่งดังทั่วไทยไปไกลทั่วโลกแล้ว เรามักจะนึกถึงทะเลเมื่อพูดถึงสตูล ไม่ว่าจะเป็นอาดัง ราวี หรือหลีเป๊ะ แต่เรามักจะไม่ได้พูดถึงสถานที่ที่อยู่บนแผ่นดินสักเท่าไร วันนี้ผมจะมาพาไปดูสถานที่ที่หนึ่งในจังหวัดนี้ ที่ได้ชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับ 1 ของเมืองไทย และใหญ่จนเป็นถึงอันดับ 4 ของโลก สถานที่นั้นคือ “ถ้ำภูผาเพชร” นั่นเองครับ มาตามดูกันไปเลยนะครับ
ผมจะนำเสนอเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวง่าย ๆ วันเดียวจบ ไม่เยิ่นเย้อ สำหรับผู้ที่มีเวลาในสตูล 1 วัน นะครับ ซึ่งเส้นทางสายนี้ผมถือว่าคุ้มค่าทุกเวลาและทุกนาทีที่เสียไปในชีวิตเส้นทางการเดินทางของผมเส้นหนึ่งเลย เริ่มต้นวันจะมีอะไรดีไปกว่าการไปดูว่าเมืองสตูลมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ที่“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล” หรือ “คฤหาสน์กูเต็น” นั่นเองครับ
เสียเงิน 10 บาท สำหรับค่าเข้าชม เพื่อเพิ่มอรรถรสในการท่องเที่ยวสตูล เราจะได้รู้ทั้งประวัติ ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตจากที่นี่ นำเสนอโดยมัคคุเทศก์ท้องถิ่นที่คอยให้การบริการอยู่ด้านในครับ หลังจากทานข้าวเช้าแล้วเหมาะเป็นจุดเดินย่อยอาหารมาก ก่อนจะไปสู่ยังจุดหมายถัดไปครับ
ออกจากอำเภอเมืองขับรถไปอีก 40 กิโลเมตร ก็จะถึง “อุทยานแห่งชาติทะเลบัน” ชื่อเป็นทะเลก็จริงแต่ตั้งอยู่บนบก ที่นี่เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ชายแดนไทย-มาเลเซียพอดีเลยครับ
ทางเดินสำหรับศึกษาธรรมชาติ มีทั้งบ้านพัก ลานตั้งแคมป์ เหมาะสำหรับผู้ที่รักและสนใจจะมาดูนกชนิดต่าง ๆ ที่นี่ครับ
ผมไม่ได้ใช้เวลาสำหรับที่นี่นานมากนัก เพราะวันนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล
ก่อนจะไปสู่จุดหมายสุดท้ายที่เป็นที่สุดของที่สุดนี้ จะไม่แวะน้ำตกแห่งนี้ก็ดูจะใจร้ายเกินไป
เพราะ “น้ำตกวังสายทอง” แห่งนี้มีดีเกินกว่าจะเป็นแค่ทางผ่านแน่นอน
“น้ำตกวังสายทอง” เป็นน้ำตกหินปูนที่มีแหล่งน้ำแต่ละชั้นไหลลดหลั่นกันมา ไหลผ่านชั้นหินปูนสีเหลืองอร่ามดั่งทองกระทบกับแสงอาทิตย์ดูงดงามราวกับดอกบัว
ดูรูปแล้วเหมือนกับที่เขาว่ากันไว้ไหมครับ
ที่ “วังสายทอง” นอกจากจะมีน้ำตกแล้ว สถานที่ที่ขึ้นชื่ออีกแห่งก็คือการมา “ล่องแก่ง” ครับ ใครที่สนใจลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ
จะลงเล่นน้ำให้สบายตัวยามอากาศร้อนตอนเที่ยงวันก็ทำได้
จากน้ำตกวังสายทองแห่งนี้ขับรถไปอีก 20 นาที ก็จะถึงจุดหมายปลายทางของผมแล้วครับ“ถ้ำภูผาเพชร” นั่นเอง
ถ้ำภูผาเพชร ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด หมู่ที่ 9 ตำบลปาล์มพัฒนา อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ ก่อนจะเข้าถ้ำก็ต้องออกแรงเสียเหงื่อกันหน่อย เพราะระยะทางกว่าจะถึงปากถ้ำเราต้องเดินขึ้นบันไดไต่เขาจำนวน 300 กว่าขั้น เมื่อเดินถึงจุดปากทางเข้าถ้ำแล้วก็จะมีที่นั่งให้ชาร์ตพลังครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าไปลุยกันข้างในครับ
ทางเข้าถ้ำเล็กมาก ๆ เมื่อเทียบกับขนาดถ้ำที่ยิ่งใหญ่ อันนี้เป็นช่องทางที่เจาะขึ้นใหม่สำหรับการท่องเที่ยว แต่ที่ทำให้เล็ก ๆ พอดีตัวก็เพราะว่าต้องการให้สิ่งรบกวนจากภายนอกเข้าไปรบกวนสภาพแวดล้อมภายในให้น้อยที่สุดครับ
หลังจากผ่านทางเข้าอันแสนเล็กกระจิริดมาได้ ข้างในกลับเผชิญหน้ากับยิ่งใหญ่อลังการจนปรับอารมณ์แทบไม่ทัน
เมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว ถ้ำภูผาเพชรถือเป็นแหล่งพักพิงของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ มีการค้นพบหลักฐานกระดูกมนุษย์โบราณส่วนกะโหลกศีรษะ เศษภาชนะดินเผาเคลือบลายเชือกทาบและกระดูกสัตว์ เปลือกหอยบรรจุในภาชนะดินเผา สันนิษฐานว่ามนุษย์สมัยก่อนน่าจะใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ก่อนที่ถ้ำแห่งนี้จะถูกกาลเวลากลืนหายไป กระทั่งปี พ.ศ.2534 ประวัติศาสตร์ของถ้ำภูผาเพชรได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง โดยการค้นพบของพระธุดงค์นามว่า “หลวงตาแผลง” ก่อนที่สำนักงานโบราณคดีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 10 ร่วมกับราษฎรในพื้นที่จะทำการสำรวจถ้ำและพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
“เสาค้ำสุริยัน” เป็นแท่งหินขนาดใหญ่ 2 แท่ง ตั้งค้ำเพดานถ้ำด้านบนอยู่
ชื่อเดิมของถ้ำภูผาเพชร คือ “ถ้ำลอด ถ้ำยาว หรือถ้ำเพชร” เนื่องจากถ้ำมีความยาว ลักษณะคดเคี้ยว แบ่งเป็นหลายตอน ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟผนังถ้ำมีประกายแวววาวเหมือนเพชร จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำเพชรก่อน ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า“ถ้ำภูผาเพชร”
ทางเดินภายในทำด้วยสะพานไม้อย่างดี ทำให้เราสามารถเดินเรียนรู้ความมหัศจรรย์ของมหาวิทยาลัยธรรมชาติแห่งนี้ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นหินงอก หินย้อยรูปทรงประหลาดต่าง ๆ นานาตามแต่จินตนาการของแต่ละคน
ค่าเข้าชมที่นี่ 30 บาท ถูกอย่างเหลือเชื่อสำหรับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ตีเป็นมูลค่าไม่ได้แบบนี้ โดยเงิน 30 บาท จะถูกนำไปแบ่งสู่ส่วน ๆ ต่างของระบบการท่องเที่ยวที่นี่ แต่ที่แน่ ๆ คือ เงินจำนวน 9 บาท จะถูกเป็นค่าแรงสำหรับไกด์ท้องถิ่นที่นี่ครับ ดังนั้นรายได้หลักของพวกก็คงมาจากสินน้ำใจของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นอย่างพวกเรานี่เอง
“สายน้ำเพชร” กลุ่มหินทางด้านขวามือของจริงจะเป็นประกายระยิบระยับเหมือนเพชรเลยละครับ
ที่เห็นเป็นโดมสีส้มอ่อน ๆ นั้นคือ “โดมศิลาเพชร” นั่นเองครับ ตอนนี้เราเดินมาถึงห้องโถงตรงกลางถ้ำแล้ว จุดนี้คือหัวใจของถ้ำนั่นเองครับ มันใหญ่โตมโหฬารมาก ผมไม่เคยเห็นถ้ำที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน “เมืองไทยมีถ้ำที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่ทำไมคนไทยภายนอกกลับไม่ค่อยรู้จักมากนัก ผมนึกในใจ ?”
หินงอกตั้งอยู่เป็นแท่ง ๆ ภายในห้อง แล้วแต่ว่าใครจะจินตนาการเป็นอะไร ตั้งแต่พระเยซู เจ้าแม่กวนอิม พระพุทธรูป ในนี้มีหมดครับ ลองมองหาดูนะครับ
ยิ่งเดินเข้าไป ยิ่งขนลุกซู่ ว่าทำไมมันใหญ่ได้ขนาดนี้ ยิ่งใหญ่สมกับเป็นถ้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของเมืองไทย และยังไปติดทำเนียบใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกอีกด้วย (อ้างอิงจากเว็บไซต์อื่น ๆ และจากคำพูดของชาวบ้าน)
ทางเดินสุดทางของสะพานไม้จะนำเราไปสู่จุดไฮไลท์ของถ้ำภูผาเพชรคือที่นี่ครับ “ลานแสงมรกต”
เมื่อเวลาลงตัว สถานที่ลงตัว สภาพแวดล้อมลงตัว อะไร ๆ มันก็ลงตัวแบบนี้ละครับ เวลาบ่ายแก่ ๆ ประมาณบ่ายสามโมงตรง แสงจากดวงอาทิตย์ลงมาทำมุมกับหินรูปพญาครุฑพอดีเป๊ะ ๆ เกิดเป็นแสงสีเขียว ๆ ขึ้นที่ตัวหินนั้น เลยเป็นที่มาของคำว่า “ลานแสงมรกต”
“อ่างศิลาใหญ่” มีลักษณะเป็นอ่างหินเป็นชั้น ๆ แสงที่ลอดมานั้นคือแสงจากลานมรกตนั่นเองครับ
ลานแสงมรกต…อีกสักครั้ง ถึงจุดนี้ผมเชื่อแล้วละว่าที่นี่คือถ้ำอันดับ 1 ของประเทศไทยอย่างไม่มีข้อสงสัยแล้วละครับ
“เวทีคอนเสิร์ต” ตั้งอยู่กลางถ้ำเลยครับ ศิลปินคนไหนสนใจจะมาจัดงาน Big Mountain ที่นี่บ้างไหมครับ
ด้านหนึ่งเขาก็บอกเหมือนดอกบัวคว่ำลง อีกด้านหนึ่งเขาก็บอกเหมือนกรดของพระธุดงค์
สิงโตเมอร์ไลออน แห่ง Sentosa ก็มีกับเขาที่นี่ด้วยเหมือนกัน
ผมเดินออกมาจากถ้ำภูผาเพชรด้วยความตะลึงในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ พกความตั้งใจที่อยากจะแชร์ประสบการณ์สถานที่เที่ยวบางแห่งในประเทศไทยที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จะได้เป็นการส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยว จะได้ช่วยสังคมและส่งเสริมชุมชนบริเวณนั้นไปในตัว เรียกว่า win-win ทั้งคนมาเที่ยวแบบพวกเรา และคนที่เป็นเจ้าของพื้นที่อย่างพวกเขาครับ สิ้นสุดวันพอดี ผมขับรถกลับมาถึงที่ปากบารา สำหรับคนที่รักทะเลวันรุ่งขึ้นนี้ก็สามารถต่อเรือล่องไปยัง เกาะอาดัง ราวี หลีเป๊ะ ได้เลย ส่วนผมวันนี้ก็ขอพักชมวิวทะเลกันที่ตรงนี้แล้วละครับ
ขอฝากประโยคสุดท้ายไว้ให้ทุก ๆ คน “เมืองไทย ไม่ไป ไม่มีวันรู้จริง ๆ ครับ”…”ไปเที่ยวเมืองนอกแค่ไหน ก็ขอให้ได้ไปเที่ยวเมืองไทยในจำนวนที่พอ ๆ กันนะครับบบบบบบ”