ทำไมต้องเดินทาง? คำถามโลกแตกที่มีคำตอบเป็นพันเป็นล้าน
ผมเชื่อแต่ละคนล้วนมีความเชื่อ ความคิดเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน
และก็แน่นอนที่สุดอีกครั้งว่า “มันไม่มีผิด และ มันก็ไม่มีถูก” ที่สุดเสมอไป
แต่ถ้าจะให้เลือกเหตุผลที่สุดๆแล้วก็ละก็ หลังจากขบคิดกันอย่างหนักหน่วงเราก็ได้เหตุผลมาตามนี้
สร้างความเข้มแข็งทั้งกายและใจ
เราไม่มีวันรู้ว่าร่างกายเราแข็งแรงขนาดไหนถ้าเราไม่เคยได้เคยใช้มัน
เราไม่มีวันรู้ว่าใจเราแข็งแรงขนาดไหนถ้ามันไม่เคยถูกทดสอบ
มนุษย์ที่จะไปพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เขาต้องเตรียมร่างกายเป็นปีๆก่อนจะไปสนามจริง
เรียนรู้ในสิ่งที่โรงเรียนไม่เคยสอน
โรงเรียนสอนเรามาทุกอย่าง ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ
แต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือจิ๊กซอว์ของความรู้ที่กระจัดกระจาย
การเดินทางเหมือนการทำให้เราเอาจิ๊กซอวเหล่านั้นมาต่อเป็นภาพได้สำเร็จ
ยิ่งต่อได้เยอะ ภาพของเราก็จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ แถมที่สำคัญมันเป็นภาพที่ไม่มีขอบเขตอีกด้วย
เราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมมาหลายล้านปีแล้ว และมนุษย์ก็เดินทางโยกย้ายถิ่นฐานมาตลอดในเวลาที่ผ่านมา
เราพึ่งจะมาตั้งบ้านอยู่เป็นที่เป็นทางก็ไม่กี่ร้อยกี่พันปีนี่เอง เมื่อเทียบกับอายุมนุษย์แล้วยังไม่ถึง 1% เลยครับ
ดังนั้นไม่มีทางที่เราจะไปห้ามสัญชาตญาณที่มันหลับไหลอยู่ใน DNA ของเราได้หรอกครับ
การได้ออกไปลั่นเสียงหัวเราะกับคนต่างภาษา ต่างถิ่นฐาน คือที่สุดของที่สุด
แล้วเราจะรู้สึกว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยว เรามีเพื่อนร่วมโลกอยู่รอบตัวจริงๆ
ไปให้รับรู้ว่าโลกเรามันช่างสวยงามมากเหลือเกิน
ไม่ได้บอกว่าให้เราโลกสวย เพราะโลกมันสวยของมันอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ต้องไปเติมแต่ง
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ภูเขาที่สูงที่สุดในโลก น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก ถ้ำที่สวยที่สุดในโลก
และอะไรต่อมิอะไรในโลก ที่ล้วนแต่รอให้เราเข้าไปค้นหา
และสุดท้าย ไปให้รู้ เมืองไทยเรานี่มันน่าอยู่ที่สุดแล้ว
หลังจากผ่านไปจุดๆหนึ่ง คนที่เดินทางมามากพอ จะเริ่มตกผลึกแล้วว่า
ต่อให้ไปต่างประเทศที่ไกลขนาดไหน จะสวยขนาดไหน จะทึ่งขนาดไหนแล้ว
สุดท้ายแล้วเราก็ยังคิดว่าบ้านเรามันน่าอยู่ที่สุดจริงๆ
จะมีที่ไหนในโลกที่เราหิวตอนตีสามก็ยังมีข้าวผัดกะเพราขายให้เรากินได้อีก
จะมีที่ไหนในโลกที่ไม่มีคำว่าร้อนเกินไป หรือหนาวเกินไป มีแต่อากาศที่คงที่ทั้งปี
มีแต่ที่ประเทศไทยบ้านเราแค่นี้ละครับ