Rinjani ตั้งอยู่ที่เกาะ Lombok ประเทศอินโดนีเซีย อยู่ใกล้ๆเกาะบาหลีเลยครับ อยู่ห่างไปไม่ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตรเดินทางมาได้สะดวกมาก แต่ก็แปลกมากอยู่ดีทั้งๆที่อยู่ใกล้บาหลีมาก แต่คนไทยกลับรู้จักเกาะนี้น้อยมาก แต่ฝรั่งเดินทางมาเกาะนี้มากมายด้วยความที่อยากหนีจากความวุ่นวายที่บาหลีนั่นเอง และที่ Lombok ก็มีภูเขาไฟ Rinjani นี่แหละครับที่ถือว่าเป็นพระเอกชนิดที่ยืนเท่ห์เหนือหมู่มวลภูเขาไฟของอินโดนีเซียทั้งหมด
ภูเขาไฟ Rinjani มีความสูงประมาณ 3,726m ถือว่าสูงเป็นอันดับสองของประเทศ คนที่นี่ยกให้เป็น Queen of Lombok เลยครับเพราะความสวยงามของที่นี่เอง ตัวภูเขาไฟ Rinjani ปัจจุบันนี้ยังไม่ดับสนิทนะครับ ถ้ามาที่นี่ยังคงเห็นการปะทุให้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
สำหรับมนุษย์ office man ที่วันๆทำงานในเมืองที่แสนรีบเร่ง ไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน นอกจากเงาของตึกสูงที่ตั้งอยู่รอบกาย การได้ออกมาทำอะไรที่แตกต่างจากชีวิตประจำวันไปบ้างถือเป็นการเติมพลังชีวิตที่ดีสุดๆ และการใช้เวลาวันหยุด 5 วัน มาเดินเขาที่นี่ ผมบอกได้เลยว่า มันจะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปแน่ๆ
เริ่มต้น ถ้าไม่อยากอ่านอะไรยาวๆ อ่านบทสรุปก่อนได้เลย
ที่ตั้ง : เกาะ Lombok ประเทศอินโดนีเซีย
ความยากในการปีน : ถ้าร่างกายฟิตปั๋งก็ทำได้แน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีทักษะการปีนเขาใดๆ ขอแค่มีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง และปอดที่สมบูรณ์ก็พอแล้ว
ใช้เวลากี่วัน: 2-4 วัน (ไม่นับวันเดินทางจากประเทศไทย)
ค่าใช้จ่าย : ค่าทัวร์ 80-300 USD ขึ้นกับคุณภาพของทัวร์ที่เราไปด้วย โดยเฉลี่ยคนทั่วๆไปจะได้ที่ราคา 180-240 USD ครับ ค่าเครื่องบินจากประเทศไทยมาที่ Lombok ก็อีกราวๆ 6000-7000 บาท สำหรับคนที่วางแผนมาดีๆ
เวลาที่น่ามา : ฤดูแล้งของที่นี่ครับ คือช่วงระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกๆปี โดยช่วงเดือนกรกฏาคมถือเป็น high season ที่สุดของที่นี่ ถ้าจะวางแผนวันลาก็คือช่วงวันเข้าพรรษานั่นเอง เป๊ะที่สุด
เอาละ ต่อไปข้างล่างนี้เป็นฉบับแบบละเอียดนะครับ อ่านจบรับรองไม่มีหลงทางแน่นอน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
สภาพอากาศของเกาะ Lombok สามารถอ้างอิงจากเกาะ Bali ได้เลยเนื่องจากอยู่ติดกัน จากภาพข้างบนจะเห็นได้เลยว่า
- มิถุนายน – ตุลาคม เป็นช่วงที่น่ามาที่สุด เพราะจำนวนวันที่ฝนตกน้อยที่สุด และปริมาณน้ำฝนจะน้อยที่สุดตามสถิติในปีที่ผ่านๆมา โดยช่วงเดือนกรกฏาคมเป็น high season ที่สุดของที่นี่
- ธันวาคม – มีนาคม เป็นช่วงที่ไม่แนะนำอย่างมาก สำหรับการเดินเขา เพราะทางจะลื่นและอันตราย ฟ้าเน่าอีกด้วยครับ
คำแนะนำ ถ้าเอาตามตารางวันหยุดของคนทำงานแบบไทยๆ ช่วงเวลาที่เราจะมีวันหยุดยาวๆติดกัน 5 วันในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการมา Rinjani คือช่วงของวันเข้าพรรษาที่มักจะควบไปกับวันอาสาฬหบูชาและวันหยุดเสาร์อาทิตย์นั่นเอง
การเดินทางมาที่ภูเขาไฟ Rinjani
ไม่มีไฟลต์บินตรงจากประเทศไทยมาที่เกาะ Lombok สำหรับคนไทยเรามักจะมีเส้นทางแบบนี้
- Via Kuala Lumpur โดยใช้ AirAsia เป็นหลัก เปลี่ยนเครื่องที่ Kuala Lumpur แล้วหาไฟลต์ต่อมาถึงที่ Lombok ได้เลยครับ วิธีนี้ถ้าโชคดีได้ตั๋วโปรมาจะเป็นวิธีที่ถูกที่สุด
- Via Jakarta ใช้ AirAsia บินไปแล้วมาหาไฟลต์ของ Garuda หรือ LionAir เพื่อมาที่ Lombok อีกครั้ง
- Via Bali อันนี้สามารถใช้ไฟลต์ของ Thai AirAsia ได้เลยครับ อันนี้เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด แต่แนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้านานๆเลยครับ เพราะเป็น high season ของที่นี่ ตั๋วจะหมดเร็วและแพงมากหากจองกระชั้นชิด
อันนี้เป็นตารางไฟลต์ของสายการบิน Thai AirAsia ครับ ถือว่าเวลาโอเคมาก ออกเดินทางเช้าตรู่มาถึงบาหลีก็เกือบๆเที่ยงสำหรับไฟลต์แรกครับ
จะมีให้เลือก 2 เวลา คือตอนเช้า กับตอนบ่าย ต้องให้เลือกไฟลต์เช้าเป็นหลัก เพื่อที่จะมาหาวิธีไป Lombok ต่อในช่วงเวลาบ่ายนะครับ หลักๆ จะมี 2 ทางเลือกในการไป Lombok ครับ
- Ferry แบบนี้ใช้เวลานาน และต้องหารถต่อออกไปท่าเรือก่อน แถมราคาก็ไม่ได้ถูก เลยไม่แนะนำ
- บินไปครับ มีสายการบินไป Lombok ทุกวัน วันละหลายๆรอบ เช่นของ Wing Air, Lion Air ค่าใช้ส่วนนี้จะประมาณ 1,200 – 1,400 บาทครับ
ขากลับ
ถ้าวางแผนมาแต่เนิ่นๆ ค่าเครื่องบินรวมทั้งทริปจากกรุงเทพมาที่ Lombok ควรจะประมาณ 8,000 – 9,000 บาท
วิธีการ Via ที่ Bali เป็นวิธีที่ผมแนะนำมากๆ เพราะถ้าเรามีวันหยุดยาวๆสัก 1 อาทิตย์ขึ้นไป การใช้เวลาอีก 2-3 วันในบาหลี หลังจาก trek ที่ Rinjani มา เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ
วิวข้างหน้าต่างตอนเครื่องบินขึ้นและลงที่สนามบินบาหลีครับ
แผนที่ของเกาะ Lombok
ตัวสนามบิน Lombok ตั้งอยู่ที่เมือง Praya ซึ่งอยู่ห่างจาก Mataram ที่เป็นเมืองหลักประมาณ 30 กิโลเมตร
ถ้าใครจองทัวร์มา โดยปกติเขาจะมารับเราที่สนามบินเพื่อไปส่งที่หมู่บ้าน Senaru ที่อยู่ทางทิศเหนือของเกาะเลยครับ
เห็นระยะทางดูไม่น่าไกล แต่จากสนามบินไปหมู่บ้าน Senaru นี่จะใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมงเลยนะครับ ต้องเผื่อเวลาให้ดี
ทีนี้ถ้าสมมติเกิดทัวร์ไม่มารับ เราก็ต้องนั่ง Taxi เข้าไป ซึ่งเสียเงินเยอะอีก T_T
สถานที่สำคัญบนเกาะ
- Praya เมืองที่มีสนามบินตั้งอยู่
- Mataram เมืองหลักของเกาะ Lombok
- Sengigi เป็นชื่อของหมู่บ้านที่มีชายหาดยาวและนักท่องเที่ยวมักมาพักผ่อน อารมณ์คล้ายๆหาดป่าตองบ้านเรา
- Gili เป็นหมู่เกาะที่คนไปอาบแดด เล่นน้ำ เนื่องจากยังถูกรบกวนจากนักท่องเที่ยวกระแสหลักอยู่
- Senaru หมู่บ้านที่ตั้งอยู่เชิงเขา Rinjani เป็นที่ตั้งของบรรดาบริษัททัวร์ปีนเขาเกือบทั้งหมด
- Sembalun เป็นหมู่บ้านที่เป็นจุดเริ่มต้นของการ trekking
- Gunung Rinjani ภูเขาไฟรินจานี
ทัวร์มีหลายแบบ ควรเลือกแบบไหน
คำถามนี้ยอดฮิต เพราะทุกคนต้องงงแน่นอน ผมเคยงงมากครับ แบบว่าอะไรกัน เยอะไปหมดงง แต่ว่าตอนนี้หายงงแล้ว คนที่อ่านจบก็จะหายงงเหมือนผม เพราะผมจะมาอธิบายให้ในตอนนี้ 555+
สิ่งที่บริษัทจะให้เราเลือกคือ
- จำนวนวัน มีตั้งแต่แบบ 2-3-4 วัน แต่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือ Summit ที่แตกต่างกันคือจุดที่เราจะนอนหรือเราจะแวะครับ
- จุดเริ่มต้น มีให้เลือก 2 หมู่บ้านคือ Senaru หรือ Sembalun
จากแผนที่จะเห็นว่าเราเลือกทางขึ้นยอด Rinjani ได้ 2 ทาง
ทางตะวันออกคือหมู่บ้าน Sembalun ทางทิศเหนือคือหมู่บ้าน Senaru
คนส่วนใหญ่จะนอนที่หมู่บ้าน Senaru แล้วทัวร์จะพาเราขึ้นรถประมาณ 1 ชั่วโมงมาส่งเราที่หมู่บ้าน Sembalun เพื่อเริ่มต้น trekking ครับ
โดยระหว่างทางจะมีจุด post เป็นระยะๆให้เราพักและบรรดาลูกหาบได้พักเพื่อทานข้าวหรือนอนเอาแรงครับ แต่ Camp สำหรับตั้งเต๊นท์จะมีอยู่ทั้งหมด 3 ที่เท่านั้น ดังนี้คือ
- Plawangan crater rim 1 (Senaru crater rim)
- Plawangan crater rim 2 (Sembalun crater rim)
- Lake camp area
เลือกทัวร์แบบกี่วันดี
มาตรฐานจำนวนวันในการเดินเขาจะมีหลักๆ แบบนี้เลยครับ
- 2 วัน / 1 คืน
- 3 วัน / 2 คืน
- 4 วัน / 3 คืน
แล้วแต่ละแบบมันแตกต่างกันอย่างไร มาดูกัน
***ตัวเลขในวงเล็บคือความสูงของพื้นที่จากระดับน้ำทะเล***
2 วัน / 1 คืน
เป็นแผนการเดินทางสำหรับคนเวลาน้อยสุด เดินไม่ครบรอบ ต้องเลือกเอาว่าจะไปที่ไหนตามนี้
เริ่มต้นหมู่บ้าน Sembalan
วันที่ 1 จากหมู่บ้าน Sembalun (1,100 m) เราจะเดินขึ้นไปนอนที่ Sembalun crater rim (2,700 m)
วันที่ 2 เดินขึ้น summit (3,726 m) แล้วเดินกลับลงมาที่หมู่บ้าน Sembalun (1,100 m) ในวันเดียวกัน
เริ่มต้นหมู่บ้าน Senaru
วันที่ 1 จากหมู่บ้าน Senaru (600 m) เราจะเดินขึ้นไปนอนที่ Senaru crater rim (2,600 m)
วันที่ 2 เดินกลับลงมาที่หมู่บ้าน Senaru (600 m) ในวันเดียวกัน (ไม่ได้ขึ้น summit)
คำแนะนำ
แพคเกจ 2 วัน เหมาะสำหรับคนที่เวลาน้อยจริงๆ และอยากจะมาขึ้นยอด Summit แต่ผมต้องบอกเลยว่าเส้นทางเทรคช่วงไป lake นี่สวยมากครับ ถ้าไม่ได้มานี่น่าเสียดายจริงๆ หรือในทางตรงกันข้ามคนที่อุตส่าห์เดินมาถึง Senaru crater rim แล้วไม่ได้ไปยอดนี่ก็น่าเสียดายมากเหมือนกัน
3 วัน / 2 คืน
เป็นระยะเวลาขั้นต่ำที่ควรมี เลือกเริ่มต้นจากด้านไหนก็ได้ เพราะไปทางเดียวกัน แค่คนละทิศ
เริ่มต้นหมู่บ้าน Sembalan
วันที่ 1 จากหมู่บ้าน Sembalun (1,100 m) เราจะเดินขึ้นไปนอนที่ Sembalun crater rim (2,700 m)
วันที่ 2 เดินขึ้น summit (3,726 m) แล้วหลังจากนั้นจะเดินลงมานอนที่ Lake segara anak (2,100 m) หรือเดินต่อมานอนที่ Senaru crater rim (2,600 m)
วันที่ 3 เดินขึ้น Senaru crater rim (2,600 m) แล้วเดินลงมาที่หมู่บ้าน Senaru (600 m)
เริ่มต้นหมู่บ้าน Senaru
วันที่ 1 จากหมู่บ้าน Senaru (600 m) เราจะเดินขึ้นไปนอนที่ Senaru crater rim (2,600 m)
วันที่ 2 เราจะเดินลงมาที่ Lake segara anak (2,100 m) แล้วเดินขึ้นมานอนที่ Sembalun crater rim (2,700 m)
วันที่ 3 เดินขึ้น summit (3,726 m) แล้วหลังจากนั้นจะเดินมาจบที่หมู่บ้าน Sembalun (1,100 m)
คำแนะนำ
แพคเกจ 3 วัน สามารถไปได้ครบทุกสถานที่ของ Rinjani แต่ในวันที่ 2 จะเป็นวันที่เราต้องใช้พลังเข่าในการเดินอย่างมาก เพราะจะเดินขึ้นๆลงๆ ตลอดทาง ผมขอยกตัวอย่างแผนการเดินทางในวันที่ 2 ของเส้นทาง Sembalun คือ 2,600 m > 3,700 m > 2,100 m > 2,600m โดยที่ทุกอย่างเกินขึ้นในวันเดียว o_O
ด้วยเหตุนี้ จึงมีแพคเกจแบบ 4 วัน 3 คืนแทน เพื่อช่วยแบ่งระยะเดินของวันที่ 2 ออกมาครับ
4 วัน / 3 คืน
เป็นการยืดแผน 3 วันออก เพื่อให้เดินได้สบาย ใช้ชีวิตแบบ slow life และไม่หักโหมร่างกายจนเกินไป
เริ่มต้นหมู่บ้าน Sembalan
วันที่ 1 จากหมู่บ้าน Sembalun (1,100 m) เราจะเดินขึ้นไปนอนที่ Sembalun crater rim (2,700 m)
วันที่ 2 เดินขึ้น summit (3,726 m) แล้วหลังจากนั้นจะเดินลงมานอนที่ Lake segara anak (2,100 m)
วันที่ 3 ใช้ชีวิตแบบชิวๆ บ่ายๆ ค่อยเดินขึ้นมาที่ Senaru crater rim (2,600 m)
วันที่ 4 เดินลงมาที่หมู่บ้าน Senaru (600 m)
เริ่มต้นหมู่บ้าน Senaru
วันที่ 1 จากหมู่บ้าน Senaru (600 m) เราจะเดินขึ้นไปนอนที่ Senaru crater rim (2,600 m)
วันที่ 2 เราจะเดินลงมานอนที่ Lake segara anak (2,100 m)
วันที่ 3 ใช้ชีวิตแบบชิวๆ บ่ายๆ ค่อยเดินขึ้นมาที่ Sembalun crater rim (2,700 m)
วันที่ 4 เดินขึ้น summit (3,726 m) แล้วหลังจากนั้นจะเดินมาจบที่หมู่บ้าน Sembalun (1,100 m)
คำแนะนำ
แพคเกจ 4 วัน คือแพคเกจในอุดมคติของการมาปีน Rinjani เพราะเราจะมีเวลาเดินแบบสบายๆในทุกๆวันโดยที่ไม่ต้องรีบร้อนมากครับ ได้นอนดูดาวในทุกๆสถานที่ๆสวยเกินบรรยายที่ crater rim ทั้งสองด้าน รวมถึงนอนดูทางช้างเผือกที่ lake อีกคืน ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องวันลา ผมขอแนะนำให้มาอยู่ที่นี่สัก 4 วันนะครับ รับรองไม่มีคำว่าผิดหวัง
Lake Segara Anak
เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ในภูเขา Rinjani อีกทีนึง อยู่กึ่งกลางระหว่าง Crater rim ทั้ง 2 ข้าง ทะเลสาบแห่งนี้จะเป็นจุดตั้งแคมป์ระหว่างทางอีกแห่งหนึ่งของการเดินขึ้น summit ครับ
คำแนะนำวันขึ้น Summit
ถ้าเราไปกับทัวร์กลุ่มฝรั่ง เขาจะให้เราตื่นประมาณ 02.00 am และจัดทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยและพร้อมเดินในเวลา 02.30 am ซึ่งกลุ่มฝรั่งนี่ค่าเฉลี่ยในการเดินเขาจะอยู่ที่ประมาณ 3-3.5 ชั่วโมงครับ แต่สำหรับมาตรฐานคนไทยทั่วๆไปไม่ใช่แบบนี้
จากที่ผมเห็นหลายๆคนเลย ถ้าเริ่มเดินตอน 02.30 am นี่ไม่ทันแน่ๆ ความเร็วเฉลี่ยในการขึ้นยอดของคนไทยจะอยู่ที่ประมาณ 4-4.5 ชั่วโมง หมายความว่าเราจะถึงยอดหลังพระอาทิตย์ขึ้นแน่ๆ ซึ่งไม่โอเค เพราะฉะนั้นเราต้องตื่นให้เร็วขึ้นเพื่อเริ่มต้นออกเดินในเร็วกว่านี้
เวลา 01.00 am เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด สำหรับคนไทยนะ ในความคิดผมนะ เดินแบบเรื่อยๆไม่ต้องแข่งกับใครนอกจากใจของตัวประมาณ 4.5 ชั่วโมง เราจะไปถึงยอดได้ตอน 05.30 am แล้วก็นั่งพักเรียกแรงคืนซัก 20 นาที พระอาทิตย์มาพอดีครับ ลงตัวแบบสุดๆ ทีนี้ถ้ากลัวว่าจะทางเปลี่ยวไหม อันนี้ไม่ต้องกลัวเลย ตัวผมเริ่มเดินตอน 02.00 am มองไปบนทางขึ้นยอด นี่แสงไฟตวัดไปมาเยอะแล้วครับ เขาเริ่มเดินกันเร็วมาก
และพวกของกินชนิด Energy bar พวกนี้จะสำคัญมาก เพราะร่างกายจะเผาผลาญพลังงานไปอย่าง อาหารที่เรากินแบบง่ายๆตอนตีหนึ่งจะหมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นถึงยอดเราจะหิวมากครับ ควรจะมีอะไรติดไว้เพื่อให้พลังงานตัวเองด้วย
เนินวัดใจ
เป็นชื่อเรียกของเนินสุดท้ายก่อนถึงยอด Rinjani เป็นเนินที่ระยะทางไม่มากครับประมาณ 500 เมตรเท่านั้น แต่ความชันนี่ประมาณ 45 องศาได้ พื้นดินเป็นดินและทรายภูเขาไฟเกือบหมด มันจึงร่วนและซุยอย่างที่สุด แบบว่าเดิน 2 ก้าวไถลลง 1 ก้าว ไรแบบนี้ เป็นช่วงที่คนทั่วไปจะมานอนหมดแรง ไปต่อกันไม่ไหว ณ จุดๆนี้ครับ ผมขอเป็นกำลังใจทุกๆคนเอาชนะเนินวัดใจตัวเองแห่งนี้ไปให้ได้ แล้วรางวัลแด่ผู้พิชิตจะรอเราอยู่ไม่ไกล
เริ่มต้นที่ไหนดี
การเริ่มต้น trekking ไปที่ Rinjani จะมีจุดเริ่มต้นให้เราเลือกระหว่าง 2 หมู่บ้านหลักๆคือ Sembalun และ Senaru ทีนี้มันมีความแตกต่างกันอย่างไร?
Sembalun : เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 1,100 เมตร เป็นเส้นทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการพิชิต Summit ในวันแรกที่เริ่มต้นเดินจากหมู่บ้านนี้เราจะเดินไปยัง base camp ที่ crater rim ซึ่งความสูงจะอยู่ราวๆ 2,600 เมตรและพักค้างหนึ่งคืนก่อนจะขึ้นยอดในวันถัดไป
Senaru : เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 600 เมตร การจะเดินไปยอดนี่ลำบากและทางชันกว่าเส้นทางแรกมาก เพราะต้องขึ้นไปถึง crater rim ที่พักวันแรกที่ระดับความสูง 2,700 เมตรเช่นกัน (ส่วนต่าง 2,100 เมตร) ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 3 วันถึงจะไปถึง summit ได้
โดยหากเราเริ่มต้นที่ Sembalun ก็จะมาจบที่ Senaru ในทางตรงกันข้ามหากเริ่มที่ Senaru ก็จะมาจบที่ Sembalun สำหรับโปรแกรมทัวร์มาตรฐาน ถ้าให้ผมแนะนำก็คงให้ไปเริ่มต้นที่ Sembalun
บริษัททัวร์ไหน แนะนำ?
ถ้าเอาแนะนำ ก็มีมากมาย สามารถดูรีวิวได้จาก TripAdvisor เลยครับ เช่น Rudytrekker, GreenRinjani, Arytrekking, etc… ซึ่งไม่แตกต่างกันมากในเรื่องของรีวิว
จากประสบการณ์ผมเลย พวกบริษัทที่มีชื่ออยู่ใน TripAdvisor ส่วนใหญ่ถือเป็นบริษัททัวร์พี่ใหญ่ในพื้นที มีทีมงานเยอะ และเปิดบริการมายาวนาน เชื่อถือได้ ราคาเริ่มต้นของบริษัทพวกนี้มักจะอยู่ที่ระหว่าง 200-300 USD แตกต่างกันไปตามเนื้อผ้า
แต่ถ้าเป็นพวกบริษัททัวร์ที่เล็กลงมา อันนี้จะหาข้อมูลจาก Tripadvisor เริ่มยากขึ้นหรือไม่มี อาจจะเป็นบริษัททัวร์ห้องแถวที่เน้นหานักท่องเที่ยวตามบู๊ทก่อนส่งต่อให้บริษัทที่ใหญ่ขึ้นกรณีที่คนน้อยไป หรือถ้าคนพอดีก็จัดเองอะไรแบบนี้ครับ กลุ่มบริษัทพวกนี้มักจะทำแพคเกจที่ราคาถูกลงมาก เหลือประมาณ 80-140 USD แตกต่างกันไปตามเนื้อผ้าเช่นเดียวกัน
คำแนะนำ
- เน้นคะแนนรีวิวจากคนที่เคยไปมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น pantip, tripadvisor แล้วประเมินดูว่าตรงตามความต้องการของเราหรือไม่
- ถ้าเป็นไปได้มีเวลาพอ เที่ยวแบบชิวๆ ให้เดินทางไปที่หมู่บ้าน Senaru เพื่อเดินเลือกบริษัททัวร์ที่เราชอบจะได้มีโอกาสคุยกับไกด์เพื่อตัดสินใจเลยก็ดีครับ (บริษัททัวร์ Rinjani >90% ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Senaru)
- ไปคนเดียว ราคาจะแพงกว่าไปหลายคนแน่นอน ยิ่งถ้ารวมกรุ๊ปเพื่อนได้เป็นหลักสิบคนเราจะมีอำนาจในการต่อราคามาก
ผมเคยเห็นกรุ๊ปคนไทยรวมไปกัน 20 คน ได้ราคาที่คนละ 3,000 บาท
ประสบการณ์ตรง
- ในตอนแรกผมหาข้อมูลจากพวกบริษัทดังๆเช่น Rezatrekker เขาคิดผมที่ราคา 240 USD up ทั้งหมดสำหรับแพคเกจ 3 วัน 2 คืน จนผมมาเจอบริษัท Yannicktrekker ที่คิดผมแค่ 125 USD ในแพคเกจเดียวกัน ผมก็งงสิครับ ว่าอะไรทำให้มันแตกต่างกันได้ขนาดนี้ สุดท้ายผมจึงจองไปกับ Yannicktrekker แล้วก็พบว่ากลุ่มนักเดินทางที่ผมไปร่วมด้วยนั้น มาจากร้อยพ่อพันแม่มาก บางคนจองมาจากเคาท์เตอร์ทัวร์ธรรมดาไรแบบนี้ จนตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่า host ของผมในการทริปนั้นคือบริษัทไหน
ทัวร์ราคา 80 USD กับ 300 USD ต่างกันที่ตรงไหน
ตอนแรกผมคิดว่าคนที่จ่ายแพงกว่าคือคนที่ถูกหลอก และผมคือคนที่จ่ายถูก แต่ที่ไหนได้ ความจริงคือ คุณจะได้อะไรก็ขึ้นกับราคาที่คุณจ่ายนั่นแหละครับ ภาษาอังกฤษบอกว่า “You get what you pay for”
ความแตกต่าง
- ที่พักคืนแรก ถ้าเป็นทัวร์ดีก็พาคุณไปนอนที่โรงแรมอย่างดี ห้องน้ำสะอาด มีแอร์ ถ้าทัวร์ถูกก็พามานอนที่ๆ Guest house เล็กๆ ไม่มีแอร์ ห้องน้ำก็แบบพอให้เราใช้อาบน้ำได้
- อาหาร ทัวร์ดีนี่อาหารดีทุกมื้อครับ มีไก่ทอด มักกะโรนี สปาเก็ตตี้ ผลไม้หลากหลายทุกมื้อ มีน้ำอัดลมให้อีก ส่วนทัวร์ถูกบางมื้อกินมาม่า อาหารเช้ามีแต่แพนเค๊ก ผลไม้มีแต่สัปปะรด มีแต่น้ำเปล่าให้
- ไกด์ ทัวร์ดีนี่ไกด์ speak English ไฟแล่บเรียกว่าโต้วาทีการเมืองได้ ส่วนทัวร์ถูกไกด์อาจพูดอังกฤษได้แบบ snake snake fish fish แบบของผม แถมบางทีก็ทำงานแบบงงๆ
- เต๊นท์ ทัวร์ดีนี่นอนแบบ private tent เลยนะครับ ส่วนทัวร์ถูกก็อัดกันสองคนในเต๊นท์เล็กๆ
- ที่นอน ทัวร์ดีนี่มี mattress ปูนอนให้อย่างหนาเลย (หนา 4-8 mm) ส่วนทัวร์ถูกก็มีให้เหมือนกันแต่บางกว่ามาก อุปกรณ์ที่นอนเช่น ถุงนอน อาจจะใหม่กว่า
- สิ่งอำนวยความสะดวก ทัวร์ดีนี่เขาพกเก้าอี้สนาม โต๊ะสนาม มาให้เรานั่งชิว กินข้าวไรแบบนี้ด้วย ส่วนทัวร์ถูกก็กินกันในเต๊นท์ครับ
คำแนะนำ ก็เลือกเอาตามความพึงพอใจนะครับ ถ้าเอาแบบสบายเลยก็เลือกแบบ VIP ครับ
สิ่งที่ต้องยืนยันกับบริษัททัวร์
- ราคาที่เราได้เป็นราคา total net ทุกอย่าง ไม่มีอะไรแอบแฝงอีกแล้ว
- ค่าเข้าอุทยานต้องรวมไปแล้วในแพคเกจ (150,000 IDR)
- ค่ารถรับส่งไป-กลับ จากสนามบิน Lombok มาที่หมู่บ้าน Senaru และกลับมาส่งที่สนามบิน (ไม่ใช่แบบว่ามารับที่ Mataram เพราะว่าเมืองหลักของ Lombok อยู่ห่างจากสนามบินถึงเกือบ 40 กิโลเมตรครับ)
- มีน้ำเปล่าให้เราอย่างเพียงพอระหว่างทาง (3 ลิตรต่อคนต่อวัน)
- ที่พักคืนแรกที่หมู่บ้าน Senaru
มาถึงตรงนี้ คงมีคนถามว่า เดินคนเดียวไม่ใช้ทัวร์ได้ไหม
คำตอบคือ ได้ครับ แต่ไม่แนะนำ!!! เพราะอะไร
ถ้าเราสามารถที่จะไปหาที่นอนหรือแบกเต๊นท์ไปเองนอนบนภูเขาที่อุณหภูมิเลขตัวเดียวพร้อมลมแรงๆในเวลากลางคืนได้ สามารถหาอาหารและน้ำเปล่ากินเองได้ครบ 3 มื้อตลอดระยะเวลา 3 วันที่อยู่บนภูเขา ถ้าสามารถทำได้ตามนี้ก็ลุยเลยครับ เพราะคนเดินเยอะ โอกาสหลงทางยากมาก ถ้าไปในช่วง high season
แต่ทั้งนี้ห้ามลืมเด็ดขาดว่าถ้าไปคนเดียว ก็คือคนเดียว เกิดมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดคิดมา ก็ไม่มีคนช่วยเหลือนะครับ เพราะฉะนั้นไปกับทัวร์ดีกว่า ทัวร์ราคาไม่แพงก็มีครับ
อาหารระหว่างทางเป็นอะไร
ผมยกตัวอย่างอาหารของทัวร์ผม (ทัวร์ราคา 125 USD)
มื้อเช้า – มาตรฐานจะเป็น Banana pancake + Sandwich กับแยม
มื้อกลางวัน – มาตรฐานจะเป็น มาม่าผัดหรือซุปมาม่า
มื้อเย็น – ข้าวผัด + ผัดผัก + ไก่ทอดหนึ่งน่อง
โดยทุกมื้อจะมีชาร้อน + สัปปะรดให้ทุกมื้อ
หมายเหตุ ถ้าไปทัวร์แพง อาหารจะหลากหลายและดีกว่านี้ เช่น มีข้าวผัดอเมริกันให้
ห้องน้ำเป็นอย่างไร
ถือเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างแท้จริง ที่นี่มีแต่ห้องน้ำที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติ
ลูกหาบของทัวร์จะเป็นคนขุดหลุมให้ตามพื้นที่เป้าหมายให้เป็นหลุมลึกความกว้างประมาณ 50 x 50 cm ลึกประมาณ 30 cm พอให้เราสามารถปลดปล่อยความทุกข์ได้ แล้วเขาก็จะเอาผ้าหรือกระดาษสีดำมาขึงเอาไว้ทั้งสี่ทิศ เวลาจะเข้าไปใช้ก็อย่าลืมตะโกนถามคนดูก่อนนะครับว่ามีใครอยู่ข้างในเหรอเปล่า
และก็แน่นอนว่า มันเป็นหลุมที่ถูกใช้แล้วใช้อีก กลุ่มนี้ไป กลุ่มใหม่ก็มา บางทีของเก่ายังไม่ทันย่อยสลายหมด เราอาจจะเจอหลักฐานมากมายของกลุ่มที่แล้ว 555+ และโปรดใช้ความระมัดระวังอย่างที่สุดสำหรับบางคนที่ไม่อยากใช้ห้องน้ำของเขา แต่นึกสนุกไปหาพื้นที่ลับตาเอง เพราะคนอื่นก็คิดเหมือนกัน เราอาจจะไปทับพื้นที่ของคนที่แล้วแบบไม่ตั้งใจ โปรดใช้จมูกของเราให้สุดความสามารถครับ
คำแนะนำ
พกทิชชูเปียกไปให้พอดีครับ (เยอะไปไม่ดีเพราะหนัก เราต้องแบกเอง) และที่สำคัญถ้าพกพวกที่ฉีดตูดพกพาไปด้วยได้จะแจ่มแมวมาก แนะนำให้เลือกแบบง่ายๆครับ ไม่ต้องมีกลไกอะไรมากมาย แค่ใส่น้ำในขวดก็ฉีดได้เลย ฟินกลางภูเขา ดูตามรูปด้านล่างได้ครับ
แบกของไม่ไหว มีลูกหาบไหม
ถ้าไปกับทัวร์ สิ่งที่ลูกหาบจะแบกให้เราคือเต๊นท์ ถุงนอน เสื่อนอน น้ำเปล่า อาหาร และพวกอุปกรณ์ครัวต่างๆ โดยที่เขาจะไม่มายุ่งกับกระเป๋าของเราเลยแม้แต่วินาทีเดียว
คำแนะนำก็คือ ถ้าเป็นไปได้ให้แบกของไปให้พอดี ไม่ควรเกิน 5-6 กิโลกรัม น้ำหนักหนึ่งกิโลกรัมก็ทำให้เราล้มได้ในช่วงเวลาที่เราเหนื่อยล้าจริงๆ เพราะเราต้องแบกมันขึ้นๆลงๆภูเขาตลอดเวลา และเป้ที่มีควรจะเป็นเป้ที่มีระบบการ support หลังหรือไหล่ที่ดี
แต่ในกรณีที่ขี้เกียจแบกหรือแบกไม่ไหว
เราสามารถจ้างลูกหาบส่วนตัวได้ครับ เพื่อแบกกระเป๋าเราโดยเฉพาะ โดยจะเดินคู่ขนาบไปกับเราตลอดทาง (หรืออาจจะแซงเราไปก่อน เพราะเขาเดินเร็วจัด) โดยปกติจะคิดที่วันละ 18-25 USD ต่อวันครับ เราจ้าง 3 วันก็เสียเพิ่มราวๆ 54-75 USD โดยที่อันนี้ไม่รวมกับช่วงเวลาที่ขึ้น summit นะครับ ถ้าสนใจให้แจ้งกับบริษัททัวร์ของเราล่วงหน้า
เรื่องของสุขภาพ
Rinjani ตั้งอยู่บนเกาะ Lombok ถือว่าเป็นเขต Malaria endemic area อีกแห่งหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย แต่ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ Low risk โดยธรรมชาติยุงก้นปล่องที่นี่มักจะออกหากินในช่วงเวลากลางคืนเป็นหลัก ถ้าป้องกันดีๆ ทายาให้เหมาะสมก็เพียงพอ ผมอ่านเจอใน TripAdvisor ฝรั่งมาที่นี่เขากินยาป้องกัน Malaria กันด้วยเลยครับ แบบกังวลมากๆ
แต่สำหรับคนที่จะมา trekking ที่นี่โดยเฉพาะ ทุกๆคืนเรานอนอยู่ที่ระดับความสูง > 2,000 เมตร ขึ้นไปบน crater rim ทั้งสองข้าง หรือที่ lake ซึ่งถือว่าเป็นระดับความสูงที่ไม่มียุงมาตามรังควานอีกแล้ว ดังนั้นถ้าพูดถึง Rinjani อย่างเดียวเน้นๆ Malaria คงไม่ใช่ปัญหาหลัก
อีกประเด็นหนึ่งคือเราไปในช่วงหน้าแล้งของที่นี่ด้วยคือ ฝนตกน้อยมาก (ว่ากันตามสถิติ) เมื่ออากาศร้อนฝนตกน้อย จำนวนยุงก็น้อยลงไปด้วย
ต่อมาเรื่อง “Altitude illness” ซึ่งปกติจะเกิดขึ้นที่เมื่อเราไปนอนในพื้นที่ๆมากกว่า 2,800 เมตรขึ้นไป แต่ในโปรแกรมทัวร์ปกติเรานอนกันที่ Crater rim และที่ lake ซึ่งความสูงตามนี้ (Crater rim ~ 2,700 เมตร
Lake Segara Anak ~ 2,000 เมตร) และในวันที่จะขึ้น Summit ก็เป็นการขึ้นแล้วก็ลงภายในเวลา 6-8 ชั่วโมง ไม่ได้ไปค้างคืนบนนั้น ดังนั้นโอกาสจะเป็น altitude sickness ก็คงน้อยมาก
แต่สิ่งที่ต้องเตรียมตัวมากกว่า คือ น้ำสะอาด ถึงจะมีให้ตลอดการเดินทางสำหรับคนที่ไปกับทัวร์ แต่ถ้าไปกับทัวร์แบบถูกๆ จะเห็นเลยว่าน้ำที่กินไม่ใช่น้ำขวดที่เปิดใหม่ แต่เป็นการแชร์กันไปกันมา ซึ่งโอกาสจะติดโรคทางนี้ เช่น ตับอักเสบ A ก็อาจเกิดขึ้นได้ หรือพวกท้องเสียอะไรแบบนี้ แถมพวกอาหารก็ทำกันแบบง่ายๆนี่แหละ การเกิดการปนเปื้อนจากพวกของสกปรกที่อยู่บนพื้นดินดูแล้วเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าไม่แน่ใจเรื่องน้ำที่กินเข้าไปว่ามันจะสะอาดพอหรือไม่ ให้ลองหาพวกขวดกรองน้ำหรือว่าเม็ดละลายที่ทำให้น้ำสะอาดเอาไว้นะครับจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ในเบื้องต้นไปได้
ห้องน้ำเป็นแบบขุดหลุมจากธรรมชาติทั้งหมด เวลาเดินต้องระวังให้ดีครับ โดยเฉพาะบริเวณที่มีมนุษย์อาศัยอยู่เช่นที่ตั้งแคมป์
ออกกำลังกายก่อนมา สำคัญมาก
เรื่องความฟิตก็เป็นสิ่งที่สำคัญสุดๆ ในระยะเวลา 3 วันเราจะต้องเดินเท้าเป็นระยะทางประมาณ 32-33 กิโลเมตร แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหา สิ่งที่ยากกว่าคือความต่างของความสูงที่เราต้องเดินทุกๆวันนั่นเองครับ เดินขึ้นเดินลงวันความสูงต่างกันเป็นหลักพันเมตร ถ้าไม่ฟิตมาให้ดีพอ ขาเดี้ยงตั้งแต่วันแรกๆเลยครับ
ให้ไปเตรียมร่างกายให้พร้อมครับ วิ่งวันละ 5-10 กิโลเมตร เป็นอย่างต่ำ ทำบ่อยๆอาทิตย์ละ 4-5 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายคุ้นเคย แล้วก็ไปออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อโดยเฉพาะบริเวณน่องที่จะถูกใช้งานอย่างหนัก เดินขึ้นบันไดแทนลิฟต์สำหรับคนทำงาน แล้วก็หมั่นทำ squat exercise ทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ ทำจนร่างกายมันคุ้นเคย แล้วพอถึงวันลงสนามจริงเราก็จะเดินแบบชิวๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เพื่อนที่เราหลอกมาจะหมดแรงนอนกึ่งสภาพซอมบี้อยู่ในเต๊นท์พักครับ 555+
คนที่ไม่เคยออกกำลังกาย แบบวิ่งแป๊ปๆเหนื่อย กินเยอะ นอนเยอะ อันนี้อย่าพึ่งมานะครับ เพราะมันจะกลายเป็นการทรมานตัวเองขั้นสูงสุดเลยทีเดียว
ส่งท้าย สิ่งที่ควรพกติดตัวไปด้วย ห้ามลืม
- Plaster ยา – เอาไว้ใช้ปิดตามร่องเท้าที่เกิดจากรองเท้ากัดครับ เพื่อนร่วมทีมผมเป็นหลายคน
- รองเท้า Trekking ที่ดอกยางยังสมบูรณ์ เพราะเราจะใช้มันหนักมากก็คราวนี้
- ที่กันหินเข้ารองเท้า Gaiters อันนี้จำเป็นมากในวันขึ้นยอด ไม่งั้นได้เดินไป เคาะรองเท้าไปแน่นอน
- เสื้อ Fleece กันหนาว – ควรจะหนาอย่างเพียงพอ
- เสื้อกันลม Windstopper – ลมแรงมากบนยอดในวันขึ้น summit อย่าลืมเอาไปนะครับ ไม่งั้นหนาวตายไปไม่ถึง
- ถุงมือ – เอาไว้ใส่ตอนวันขึ้นยอด เพราะเราต้องออกตอนตีสอง มันหนาวมาก
- หมวก – แดดแรงมากครับ
- ไฟฉายคาดหัว (Headlamp) – สำคัญมากตอนขึ้นยอด เพราะเราต้องเอามือทั้งสองข้างไปถือไม้เท้า ไฟที่คาดหัวแล้วจะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะ
- ไม้เท้า Trekking – เอาไป 2 อันนะครับ จะได้ไม่เป็นภาระหัวเข่าทั้งสองข้าง
- Alcohol ล้างมือ – อันนี้เอาไว้ล้างมือก่อนกินข้าว
- ทิชชู่เปียก – เอาไว้ใช้เช็ดก้น หรือเช็ดตัว
- ครีมกันแดด – เอาแบบ SPF สูงๆเลยนะครับ แดดแรงมาก
- กางเกงในว่ายน้ำ – เอาไว้เล่นน้ำที่น้ำพุร้อนตรงทะเลสาบครับ
สรุปค่าใช้จ่าย
- ค่าเครื่องบิน ไปกลับ Bangkok – Bali (Thai AirAsia) โดยประมาณ 6,500 – 7,000 บาท
- ค่าเครื่องบิน ไปกลับ Bali – Lombok โดยประมาณ 1,000 – 2,000 บาท
- ค่าทัวร์ Rinjani 3 วัน / 2 คืน โดยประมาณ 3,500 – 4,000 บาท
- ค่าโรงแรมคืนที่ 4 (บางคนอาจจะไม่มี เพราะบินกลับวันที่ 4 เลย) ประมาณ 400 – 500 บาท
- ค่าอาหารที่ต้องซื้อกินเอง ประมาณ 500 บาท
- วีซ่าฟรีสำหรับคนไทย ไม่ต้องเสียเพิ่ม
- ค่าเดินทางบนเกาะ อยู่ในแพคเกจทัวร์หมดแล้ว
สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับการมา Rinjani 5 วัน 4 คืน จะอยู่ที่ประมาณ 12,000 – 14,000 บาทครับ
จบแล้วครับ ไปเที่ยว Rinjani กันเถอะ
หากใครสนใจอุปกรณ์การเดินทาง เป้แบคแพค เสื้อแจ็คเก็ตกันลมกันฝน เสื้อขนเป็ด ลองจอน ถุงมือกันหนาว
สามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าได้ที่ ร้านของพวกเรา The Puffin House
ติดตามบทความอื่นๆของพวกผมได้ที่ >>> https://worldwantswandering.com