ผมเชื่อว่าทุก ๆ คนมี “ความฝัน” ฝันที่จะได้ไปทำอะไรตามที่ใจจะปรารถนา ฝันที่จะได้ท่องไปในโลกอันกว้างใหญ่ไร้อิสระและภาระกังวล อาจจะหลากหลายไปตามความชอบ ทัศนคติ ความต้องการในชีวิต ในโลกแห่งการเดินทางฝันอาจจะยิ่งใหญ่ไปไกลสุดขอบฟ้า แต่ถ้าย้อนกลับมายังชีวิตตัวตนเรา ณ ปัจจุบัน ตอนนี้ละ
ความฝันจะเป็นอะไร ในชีวิตคน ๆ หนึ่ง “ความฝัน” อย่างหนึ่งที่เป็นสุดยอดปรารถนาของทุกคนแทบจะทั้งโลก ที่ถาม ๆ ใครก็จะได้คำตอบที่หลากหลายแต่หนึ่งในนั้นต้องมีคำว่า “บ้าน” ต้องมีอยู่ในรายชื่อลำดับต้น ๆ อย่างแน่นอน
ตัวผมเองเดินทางมาหลายที่เพื่อหาประสบการณ์ให้กับตัวเองและส่งมอบสิ่งนั้นให้กับผู้อื่น ระยะเวลาการเดินทางตลอดชีวิตของผมกว่า 44 ประเทศ ผมเห็นผู้คนมากหน้าหลายตา หลากหลายสัญชาติ ที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศและภูมิประเทศ เริ่มตั้งแต่เกอร์ในมองโกเลีย บ้านไม้แห่งไซบีเรีย บ้านดินเผาของชาวอัฟกานิสถานจนมาถึงกลุ่มบ้านหลังคาสีแดงของชาวยุโรปแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เรื่องที่น่าจดจำมีอยู่มากมายตลอดทาง แต่เรื่องที่น่าจดจำที่สุดมันคือเรื่องอะไรละ ผมจะเล่าให้ฟัง
ตอนนั้นผมเดินทางอยู่ในทวีปยุโรปทางตอนใต้ หลังจากทันทีที่ผมได้พบกลุ่มอาคารบ้านเรือนที่มุงด้วยหลังคาสีแดงที่เด่นชัดสะดุดตาแห่งเมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) ที่เป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของยุโรปใต้ และประวัติศาสตร์เป็นเมืองพี่เมืองน้องกับ “เวนิซ” ในอิตาลี และ “สปลิต” เมืองเลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกเมืองของโครเอเชียในอดีต เมืองนี้ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเอเอเดรียติกที่เป็นส่วนหนึ่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ความประทับใจแรกรับมันเหมือนกับรักแรกพบที่แค่เพียงได้เห็นก็หลงรักเข้าไปเต็ม ๆ ภาพถ่ายมากมายที่เห็นมาจากในหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตไม่อาจสู้ภาพที่ผมเห็นด้วยสองตาต่อหน้าตอนนั้นได้เลย
การเดินทางมาถึงที่นี่จะว่าง่ายก็ง่ายเพราะมีเครื่องบินมาถึงเลยในฤดูร้อน แต่จะว่ายากก็ได้เพราะนั่งรถไกลเหลือเกินใช้เวลาไปเกือบหนึ่งวันเต็ม ๆ สำหรับการมาจากเมืองหลวงซาเกร็บ (Zagreb) แต่ทันทีที่มาถึง วินาทีแรกที่เดินออกมาจากประตูรถ แล้วเห็นประตูเมืองเปิดรอต้อนรับเราอยู่ ความเหนื่อยทุกอย่างแทบจะอันตรธานหายไปในเวลานั้นเลยครับ ผู้คนที่ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย เสียงของคลื่นที่กระทบฝั่ง เสียงของลมเย็นๆที่พัดอยู่รอบตัว ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
บริเวณรอบเขตเมืองเก่านอกจากประตูเมืองแล้วจะมีกำแพงเมืองโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี การเดินรอบตัวกำแพงทำให้ผมได้สัมผัสกับบ้านเหล่านี้ในระยะประชิด อาคารสีแดงที่เกาะกลุ่มรวมตัวกันเมื่อจับกับภาพสีน้ำทะเลในเบื้องหลังแล้วมันชวนน่าหลงใหลจนอยากจะมีบ้านสักหลังที่นี่อย่างสุด ๆ บางช่วงเดินจะเดินผ่านบานหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ จนเรามองเห็นทะลุเข้าไปถึงในบ้านแล้วคนที่นี่เขาส่งยิ้มกลับมา ชาวบ้านบางคนก็มานั่งจิบกาแฟจิบชากันที่ขอบระเบียงรับลมเย็น ๆ ริมทะเลไป ช่างเป็นเมืองที่มีความสุขทั้งเจ้าถิ่นและผู้มาเยือนจริง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ของเมืองในยุโรปที่ตั้งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแทบทั้งนั้น
ที่บริเวณใจกลางเมือง จะมีร้านกาแฟน่ารัก ๆ ให้นั่ง ร้านขายหนังสือที่มีคุณลุงหนวดยาวหน้าตาเป็นมิตรคอยส่งยิ้มต้อนรับผมอยู่เสมอถึงแม้ผมจะไม่ได้ซื้อหนังสือแกเลยแม้แต่เล่มเดียว บ้านของคนที่นี่เรียกได้ว่าเปิดโปร่งโล่งสบายเพราะต้องการรับลมทะเลและสถาปัตยกรรมของเค้าน่าจะออกแบบให้เหมาะสมกับภูมิอากาศ เด่นชัดตรงหลังคาที่ทำจากกระเบื้องดินเผาที่ได้ชื่อว่ามีคุณสมบัตินำพาความร้อนต่ำนั้น เรียกได้ว่าเป็นการสร้างบ้านด้วยความคิดที่ชาญฉลาด ประหยัดทั้งไฟ ประหยัดทั้งเงินไปพร้อม ๆ กัน
อีกทั้งภายในบ้านทุกหลังของเมืองดูบรอฟนิคถือว่าเป็นเขตมรดกโลกของยูเนสโกทั้งเมือง ทำให้ได้รับการอนุรักษ์โดยได้รับการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด ผมจึงเห็นเจ้าส่วนประกอบที่สร้างบ้านเหล่าขึ้นมาอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เห็นความฉลาดของบรรพบุรุษในสมัยก่อนที่เข้าใจคิดและเข้าใจทำจนเป็นรากฐานของปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ เมืองใหญ่ๆในยุโรปอย่างโรม ปารีส หรือลอนดอน มีแต่อาคารทรงที่ประกอบไปด้วยโดมใหญ่ที่ตระการตาหรือ ประตูทางเข้าที่หรูหราแต่ไม่ใช่กับที่นี่ เมืองที่มีแต่ความเรียบง่ายอย่างดูบรอฟนิค เป็นสิทธิพิเศษสำหรับผู้อยู่อาศัยริมทะเลแห่งนี้ จะว่าจะเรียกว่าที่นี่คือสรวงสวรรค์ของยุโรปใต้อีกหนึ่งแห่งเลยก็ว่าได้ครับ
เมืองดูบรอฟนิคได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามประกาศเอกราช ปี ค.ศ. 1991 ตัวเมืองเก่ากว่า 80% ถูกทำลายถูกเผาไป แต่ทางการได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์อย่างรวดเร็วและด้วยการทำงานด้วยความร่วมมือของทุกๆฝ่าย ความสวยงามในอดีตจึงได้ย้อนเวลากลับมาแสดงตัวในเวลาปัจจุบันอีกครั้ง
ผมค่อย ๆ เดินลัดเลาะไปตามสันเขาจนถึงสุดที่ยอดพอดี ภาพของเมืองดูบรอฟนิคทั้งเมืองปรากฏสู่สายตาทั้งสองข้าง ความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างแบบนี้ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนจริง ๆ ผมบอกกับตัวเองเช่นนั้น ผมใช้เวลาไปพักใหญ่เพื่อชื่นชมและดื่มด่ำกับบรรยากาศ จนได้เป็นแรงบันดาลใจอันใหญ่พกติดกลับบ้านมาด้วย
เมื่อผมกลับมาถึงเมืองไทย ผมนั่งถามกับตัวเองว่าจะมีบ้านที่ดูบรอฟนิคสักหลังได้ไหม มันคงไม่ได้แน่ ๆ ครับ แหม่ ตั้งอยู่ไกลซะขนาดนั้น แต่ถ้าจะเอาแนวความคิดบ้านสไตล์ยุโรปใต้ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแบบนี้มาประยุกต์ใช้กับเมืองไทยดูจะสมเหตุสมผลและเป็นไปได้มากกว่า
อย่างที่บอกก่อน กลุ่มอาคารหลังคาดินเผาสีแดงริมทะลสีน้ำเงินคือเครื่องหมายการค้าที่ตีตราไปทั่วโลก ใครก็ จำได้ ดังนั้นถ้าจะมาสร้างบ้านสักหลัง สภาพอากาศที่เมืองไทยเองก็ออกไปทางร้อน ๆ ซึ่งไม่แตกต่างจากยุโรปทางตอนใต้เท่าใดนัก ตอนนี้ผมคงเลือกกระเบื้องมุงหลังคาเป็นดินเผา และต้องเป็นสีแดง ๆ ส้ม ๆ แบบที่นี่ด้วยครับ เวลาที่เห็นบ้านตัวเองจะได้เหมือนรำลึกความหลังอันแสนหอมหวานในช่วงเวลานั้น ซึ่งผมลองเซิร์ชกูเกิลตอนนี้ก็มีกระเบื้องหลังคาดินเผาคุณภาพสูง Terracotta ของ SCG ที่วางขายอยู่แล้ว มีทั้งสี Monotone และ Blend อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยกลุ่ม Mixed-tone อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ “นำความร้อนต่ำ” มีผลทำให้บ้านเย็นเข้าได้กับสภาพภูมิอากาศในบ้านเราได้เป็นอย่างดี จะได้เป็นบ้านในฝันของเราได้อย่างเต็มภาคภูมิ เรียกได้ว่าสบายทั้งใจ สบายทั้งกายเลยครับ
“ดูบรอฟนิค” เมืองสุดน่ารักแห่งยุโรปใต้ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ นอกจากจะมีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แล้ว เรื่องราวทั้งวิถีชีวิตและประวัติศาสตร์ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ส่วนจะเป็นอย่างไรขอเอาไว้เล่าต่อไปในโอกาสหน้าละกันนะครับ
แล้วไว้พบกันใหม่ในการผจญภัยครั้งหน้านะครับ จะเป็นที่ไหน ก็ต้องรอติดตามกัน สวัสดี….
ผู้ใดที่สนใจสามารถเข้าไปขอคำแนะนำปรึกษากับทางสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญของ SCG หรือศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scgbuildingmaterials.com/th/products/SCG-Clay-Tile-Terracotta-Roman-Palmilla/8852439020157 ลองแวะเข้าไปหาข้อมูลกันนะครับ เผื่อจะได้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการสร้างบ้านในฝันของเรา