สำหรับไฟลต์บินตรงของ Air Asia มีทุกวัน
- ขาไป : ออกจากกรุงเทพเวลา 21.35 น. ไปถึงที่มะนิลา กว่าจะได้รับกระเป๋าก็ประมาณเวลา 02.00 น. พอดี
(จะนอนในสนามบิน รอจนถึงเช้าค่อยเข้าเมือง หรือจะเข้าเมืองไปนอนพักเลยก็ได้ ที่พักไม่แพงครับ) - ขากลับ : ออกจากมะนิเลา เวลา 18.35 น. มาถึงกรุงเทพกว่าจะได้รับกระเป๋าก็ประมาณ 4 ทุ่มพอดี
ถือว่าเป็นเวลาที่ค่อนข้างลงตัวมากๆในแง่ของการใช้วันลาได้คุ้มค่าที่สุด เพราะเรียกว่าเที่ยวได้จัดเต็มตั้งแต่ตอนไปถึง หรืออยู่จนเย็นในวันเดินทางกลับครับ
ส่วนการเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง
วิธีการที่ดีและง่ายที่สุดคือการใช้ Grab นั่นเอง ปกติ Air Asia จะไปลงที่ Terminal 3 เมื่อเดินออกมาที่ประตู 2 ก็จะมีเคาท์เตอร์ของ Grab ตั้งอยู่ และเรียกให้มารับตรงนั้นได้เลยครับ ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงกับแท๊กซี่ที่มักจะไม่ยอมใช้มิเตอร์
เริ่มต้นวันแรก ก็เรียกว่าวอร์มเบาๆในเมืองหลวงกันก่อนน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับที่พักตอนที่มาตอนกลางคืนถ้าบิน AirAsia ผมจะแนะนำให้มาทักแถว Manila bay นะครับ เพราะตอนที่เราตื่นเช้าขึ้นจะได้เดินมาทางเดินริมอ่าวมะนิลา ดูวิวเมืองริมทะเลไปเพลินๆก่อนที่จะหาอะไรทานกันตอนเช้าครับ
Harbor square ไม่ใช่แค่ชื่อเหมือนกับอยู่ที่ฮ่องกง บรรยากาศถ้ามองให้เหมือนก็ได้ คือ มีอ่าว มีท่าเรือ แล้วก็มีตึกสวยๆ ถนนสะอาดให้ดูครับ เรือยอร์สหรูๆจอดเต็มอ่าว ถ้าใครเลือกที่พักที่สูงหน่อยๆ เมื่อเราย้อนไปยังย่านมากาตี ก็จะเห็นกลุ่มของตึกสูงระฟ้าที่อยู่กันเป็นกระจุกไม่ต่างจากเมืองใหญ่ๆของเอเชียหรือกรุงเทพเลยทีเดียว
จากตัวของ Manila bay เมื่อเราเดินขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ จะมาถึงสถานที่เที่ยวหลักของมะนิลา ซึ่งจะกระจุกตัวๆหลักอยู่ในบริเวณพื้นที่ๆเรียกว่า “อินทรามูรอส” (Intramulos) ซึ่งแปลว่า “เมืองในกำแพง”
ทำไมต้องในกำแพง…ในอดีตพื้นที่ในกำแพงเป็นเหมือนกับศูนย์บัญชาการของชาวสเปนที่ปกครองฟิลิปปินส์อยู่ แล้วสร้างกำแพงล้อมไว้อีกที ส่วนด้านนอกก็จะเป็นเขตที่ชาวเมืองดั้งเดิมอาศัยอยู่ และในบริเวณอินทรามูรอสนี่เอง ที่เรียกได้ว่าเหมือนกับเป็นจุดศูนย์รวมการท่องเที่ยวของมะนิลาอัดแน่นกันอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆแห่งนี้ ทางทีดีควรจะมีเวลาอย่างน้อยก็ 1 วัน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าใครที่หลงรักวัฒนธรรมแบบสเปนก็อาจจะต้องเพิ่มวันเข้าไปอีก โดยจุดที่ห้ามพลาดก็คือ Manila cathedral, San Augustin church และ Fort Santiago พื้นที่ทั้งหมดไม่กว้างมาก เดินได้สบาย แต่ถ้าอยากสบายไปอีกขั้นก็ใช้บริการรถม้าได้ แต่ตกลงราคากันให้ดีก่อน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะครับ
ภาออกจากวิหาร San Augustin มา ฝั่งตรงข้ามจะเป็น Casa Manila อดีตบ้านของคหบดีเก่าที่ตอนนี้ได้ปรับสภาพปรับปรุงใหม่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทุกๆคนสามารถเข้ามาชมได้ยในวิหาร San Agustin Church ซึ่งด้านในมีความสวยงามไม่แพ้โบสถ์ในยุโรปเลย ตอนนี้ได้รับการยกขึ้นเป็นมรดกโลกแล้ว วันที่ผมไปยังมีคู่รักมาจัดพิธีงานแต่งงานกันที่นี่อีกด้วย บรรยากาศยังกับในละครเลยทีเดียวครับ
ทางทิศเหนือสุดของอินทรามูรอส คือ ป้อมปราการซานติอาโก้ (Fort Santiago) ทีนี่เป็นทั้งอดีตที่ตั้งของกองทัพ ศูนย์บัญชา หรือแม้กระทั่งเรือนจำ ปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งของฟิลิปปินส์
ศูนย์กลางของอินทรามูรอสถ้าจะบอกว่าเป็น Manila Cathedral ก็ไม่ผิดนัก เพราะที่ตั้งอยู่ตรงกลางภายในเมืองในกำแพงแห่งนี้ อีกทั้งเป็นที่พักอาศัยของท่านอาร์คบิชอบแห่งมะนิลาหรือประมุขสูงสุดทางคริสต์จักรแห่งฟิลิปปินส์นั่นเองครับ ที่นี่มีชื่อเรียกเก๋ๆในภาษาสแปนิชว่า “Catedral Basílica Metropolitana de Manila”
อาหารการกิน
ผมว่าที่นี่เป็นหนึ่งในสวรรค์ของการหาอาหารกินเลยนะครับ หาได้ง่ายเหมือนเมืองไทย ราคาก็พอๆกับบ้านเรา ไม่มีความแตกต่าง จะมี Fast food ดังๆคือ Jollibee ที่มีจำนวนสาขามากกว่า 7-11 อาหารราคาถูกไม่ว่าจะเป็นไก่ทอด สปาเก็ตตี้ หรือข้าว หรือจะเป็น Chowking ก็จะเป็นกลุ่มอาหารจีน ราคาใกล้เคียงกันครับ อย่าลืมลองอาหารท้องถิ่นตามร้านค้าบ้านๆด้วยนะครับ ให้บรรยากาศอารมณ์ร่วมที่ดีไม่น้อย
วันถัดมาคือการวิ่งหน้าเข้าหาสู่ธรรมชาติที่เมืองตากอากาศที่นิยมที่สุดของชาวมะนิลา ที่ชื่อว่า “ทาเกไต” (Tagaytay) ผมกลับไปที่สนามบิน NAIA แล้วก็เช่ารถขับมาเลย ถนนในฟิลิปปินส์ถือว่าอยู่ในสภาพที่โอเคไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก มีระบบทางด่วนแบบบ้านเรา แต่ที่ต้องปรับตัวอาจจะเป็นเรื่องของพวงมาลัยซ้ายที่ต้องจูนกันนิดนึง โดยเมือง Tagaytay ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงประมาณ 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่นี่เลยมีอากาศที่เย็นสบายกว่าที่ราบด้านล่าง มีรีสอร์ทต่างๆมากมายเปิดให้บริการอยู่ที่นี่
ร้านกาแฟริมเชิงเขา เราคิดถึงอะไรที่เมืองไทย ที่นี่ก็หาได้ไม่ยากเช่นเดียวกันครับ สนนราคาแล้วกลับถูกกว่าบ้านเราเสียอีก จิบกาแฟกันสักนิดก่อนจะลงไปยังทะเลสาบเบื้องล่าง
ทะเลสาบทาล (taal lake)
คือไฮไลท์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ทีนี่เป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟเดิมที่เคยระเบิดเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว โดยตรงกลางทะเลสาบจะมีภูเขาไฟทาล (Taal volcano) อยู่ตรงกลางที่ปัจจุบันยังไม่ดับสนิทดีตั้งอยู่ ความพีคของการเที่ยวที่นี่ก็คือเราสามารถลงไปนั่งเรือจากหมู่บ้านเบื้องล่างแล้วก็เทรคขึ้นไปดู ทะเลสาบที่อยู่ในทะเลสบกันอีกที ใครจะมาที่นี่ก็เผื่อไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมงสำหรับทริปครึ่งวันอันนี้ครับ อันนี้มีชื่อว่า Tagaytay picnic grove หรือลานปิคนิคของชาวเมือง สำหรับผู้นิยมชมชอบบรรยากาศอยากเห็นว่าชาวฟิลิปปินส์เขามาพักผ่อนหย่อนใจกันอย่างไรก็จัดเลยครับ แถมยังมีทางเดินชมธรรมชาติวิวทะเลสาบปังๆให้อีก
จากเมือง Tagaytay เราต้องขับรถลงมาที่หมู่บ้าน Talisay ที่อยู่ติดทะเลสาบ หลังจากนั้นก็มองๆเอาตามป้ายได้เลยครับ มีท่าเรือมากมายที่ให้บริการพาเราข้ามฝากไปยังอีกเกาะ นั่งเรืออีกประมาณ 30 นาที เราก็จะมาถึงเกาะกลางทะเลสาบที่เป็นภูเขาไฟนั่นเอง หลักฐานที่บ่งบอกว่ามันยังไม่ดับดีก็คือเราจะเห็นร่องรอยของควันกลิ่นกำมะถันที่เล็ดลอดออกมาจากรอยปริของหินได้เป็นช่วงๆตลอดทาง
หลังจากนั้นตามด้วยการขี่ม้าของชาวบ้านต่ออีกประมาณ 30 นาที เราก็จะมาสู่จุดที่เกือบจะสูงที่สุดของภูเขาไฟทาล และจุดนี้เองทะเลสาบในทะเลสาบก็จะปรากฎกายอยู่ตรงหน้าครับ พีคของพีคจริงๆ
ที่นี่ไม่สามารถค้างคืนได้ เราทำได้เพียงแค่บันทึกทุกอย่างไว้ด้วยสายตาและฝากเอาไว้เพียงแค่รอยเท้าเท่านั้น
ที่พักใน Tagaytay ส่วนใหญ่ถ้าคืนละ 1,500 บาทขึ้นไป มักจะได้ห้องที่มองเห็นวิวทะเลสาบแล้วครับ ผมพักที่ Splendido hotel ที่ผมยกให้เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดตลอดช่วงการเดินทางที่นี่เลย สามารถไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.splendido.ph
ต่อมาผมจะขับลงไปด้านใต้อีก ลงจากที่ราบสูงริมปากปล่องไปยังที่ราบเบื้องล่างริมมหาสมุทรแปซิฟิค โดยระหว่างทางจะผ่านโบสถ์คริสต์สวยๆหลายแห่ง อันหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาดคือ “Caleruega” ที่ให้บรรยากาศเหมือนโบถส์ในยุโรปเลย เมื่อมองควบคู่กับพรรณไม้ที่ปลูกรอบๆ แถมยังสัมผัสได้ถึงไอเย็นๆของสภาพอากาศแถวนี้ ฟินไปอย่างต่อเนื่อง
Fantasy world
แรกเริ่มเดิมที ที่นี่จะกลายเป็นสวนสนุกกลางหุบเขาที่จะสร้างความเอนเตอร์เทนให้คนบนภูเขา แต่โครงการนี้ไม่สำเร็จเสียก่อน แต่ได้ทิ้งปราสาทดิสนียแลนด์เอาไว้ให้เป็นอนุสรณ์ที่ควรค่าแก่การผ่านมาถ่ายรูปอย่างมาก
ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวันจาก Tagaytay กว่าที่ผมจะมาถึงอีกหนึ่งจุดหมายที่ตั้งไว้จากเมืองไทยว่าต้องมาให้ได้ นั่นคือ เมืองมรดกวัฒธรรมทาล (Taal heritage village) เป็นเมืองเล็กๆ ที่จะมีกลิ่นอายแบบสเปน เอาให้เบื่อกันไปอีกข้าง! การจะมาเมืองทาล ถ้าไม่ขับรถมาจะเป็นอะไรที่น่าเวียนหัวพอสมควร ถ้าให้ดีก็เช่ารถขับมาจะสะดวกกว่ามาก เพราะเราจะแวะเที่ยวระหว่างได้ง่ายขึ้น แถวนี้คือที่อยู่ของ local ขนานแท้ คาดคิดไว้ได้เลยว่าจะเจอพาหนะแบบชาวบ้านที่จะครองถนนจนผู้มาใหม่อย่างเราต้องใช้สมาธิในการขับขี่อย่างสุดๆ
ไฮไลท์ของเมืองทาล ก็คือ “มหาวิหารทาล” (Taal Basilica) ที่บอกว่าเป็นศาสนาสถานของคริสต์นิกายโรมันคาทาลิคที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย! ไปดูกันครับ ตรงทางเข้าจะมีรูปปั้นของพระแม่มารีอาตั้งอยู่ ภายในมหาวิหารทาล
ต้องยอมรับเลยว่าใหญ่จริงๆ ตัวด้านหน้าดูไม่ใหญ่มาก แต่ว่าด้านในลึกพอสมควร เลยกลายเป็นโบสถ์ที่มีโถงใหญ่ให้อารมณ์คล้ายๆแบบที่มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ที่วาติกัน แต่ภายในการตกแต่งจะสวยสู้โบสถ์ San Augustin แบบแพ้ไปเล็กน้อย แต่ทีนี่ก็ควรค่าแก่การมาสัมผัสวิหารที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
ในเมือง Taal มีจุดถ่ายภาพ IG สวยๆอยู่เยอะมาก ตามมุมตึก หลืบของซาก บันได ภายในอาคารคหบดีเก่าสเปน พูดไปในนี้ก็ไม่มีหมด ต้องมาให้เห็นด้วยตาตนเองครับ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บของใช้ตั้งแต่ในสมัยที่คหบดีเดิมเคยอาศัยอยู่มาก่อน เราจะได้เห็น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอาหาร ห้องครัว ในแบบที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมเปี๊ยป
ตรงข้ามโบสถ์ก็จะเป็นเขตเมืองเก่าที่ยังมีอาคารทรงโบราณในสมัยโคโลเนียลที่เก็บรักษาไว้อย่างดี บางส่วนได้กลายเป็นร้านอาหารหรือร้านขายของ ถ้าจะให้เทียบกับเมืองไทยที่นี่ก็คงอารมณ์คล้ายๆกับอัมพวาในวันวาน ที่ยังไม่ค่อยถูกกระแสการท่องเที่ยวพัดมามากนัก ทุกอย่างเลยค่อนข้างที่จะอยู่ในสภาพเดิมมาๆ เลยเป็นโอกาสของคนที่แสวงหาความต่างในการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ครับ หลังจากทาล ผมขับรถต่อไปยังเมือง “นาซุกบู” (Nasugbu) เพื่อไปค้างคืนยังเมืองริมทะเลอีกแห่ง เพื่อเตรียมพร้อมไปสู่เกาะแห่งอารยธรรมกรีกที่ตั้งอยู่ในฟิลิปปินส์ อย่างไม่น่าเชื่อ!
ใครจะไปคาดคิดว่าเราจะมาพบอารยธรรมกรีกบนเกาะกลางทะเล ที่นี่! ผมต้องมาค้างที่ Nasugbu เมื่อคืน กับเมืองที่แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่จำเป็นต้องมา เพราะว่าการเดินทางในวันนี้เราต้องออกกันแต่เช้าที่เวลาเจ็ดโมงเช้า
ผมจะเดินทางไปยังเกาะแห่งคำทำนาย (Fortune island) ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมือง ห่างออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร โดยจำเป็นต้องนั่งเรือออกจากสถานที่ชื่อว่า Fortune resort ที่ต้องออกแต่เช้า ด้วยเหตุผลเรื่องของคลื่นลมและสภาพอากาศที่รู้เห็นเป็นใจที่สุด เพราะตอนบ่ายไปคลื่นจะแรงไม่เหมาะกับการเดินทางเสี่ยงอันตรายมากขึ้นครับ
ความรู้สึกแรกที่เห็นที่นี่คือ “ของพวกนี้ มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร???*
รูปปั้นเทพเจ้าเอย เสาคอลัมแบบกรีกงี้ละ มาจากไหน เพราะจากความรู้ที่มี อารยธรรมกรีกไม่น่าแพร่มาถึงจุดที่ผมยืนอยู่ ณ ตรงนี้ได้ คำตอบของคำถามก็คือ ทีนี่เคยเป็นรีสอร์ท 5 ดาว ที่ตั้งอยู่กลางทะล และเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อใช้ดึงดูดคนมาพัก มาเที่ยวนั่นเอง แต่ตอนนี้ปิดตัวไปแล้ว แต่พวกสิ่งก่อสร้างยังคงอยู่ เลยกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดฮิตของเหล่า Instagramer ไปโดยปริยาย
Fortune island ถ้าไม่คิดว่าเป็นของเทียม เมื่อเทียบกับบรรยากาศรอบข้างแล้ว ถือว่าโอเคมากๆเลยนะครับ เป็นอีกที่ๆถ่ายรูปได้สวยมาก เพราะแทบจะไม่มีอะไรที่บังสายตาเราได้เลย รอบข้างเราเป็นทะเล 360 องศา กับมีแค่รูปปั้นเทพเจ้าเป็นเพื่อนเราเท่านั่นละ ที่นี่สามารถมาคนเดียวได้ แต่ต้องมารอเรือเช้ามากๆ เผื่อแบบบังเอิญติดเรือไปกับกลุ่มอื่นๆได้ เช่นผม หลังจากที่เรือกลับไปถึงฝั่งอีกครั้ง ผมก็ขับรถกลับไปที่มะนิลาอีกครั้ง ซึ่งถ้าเช่ารถมาก็สามารถไปคืนที่สนามบิน NAIA แล้วกลับบ้านได้เลย แต่ถ้าใครจะเที่ยวต่อก็ลุยทางตอนเหนือของเกาะลูซอนต่อได้ครับ
ผมขอแถมให้อีก 3 สถานที่ไว้เป็นไอเดียในการทำทริปของทุกๆคนนะครับ
เมืองตากอากาศบาเกียว (Baguio)
เวลาถึงฤดูร้อนในฟิลิปปินส์ที นี่ร้อนจนแทบบ้านะครับ ประเทศไทยใครๆก็ว่าร้อน แต่ที่นี่ร้อนกว่ามากมายนัก ที่ฟิลิปปินส์มีอยู่อย่างหนึ่งที่เมืองไทยไม่มีก็คือ สิ่งที่เขาเรียกกันว่า “เมืองหลบร้อน” หรือ “Hill station” ทีนี้ไอ Hill station มันคืออะไร พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ พวกฝรั่งเขาเป็นทนร้อนไม่ได้ครับ อยู่ที่ร้อนแล้วมันหงุดหงิด คิดอะไรไม่ค่อยออก เลยต้องแสวงหาที่ไหนก็ได้ที่หนาวๆ จะได้ไปสิงสถิต ร่างกายไม่หงุดหงิด มีเวลาสร้างสรรค์งานนั่นเอง ตัวอย่างเมืองอื่นๆก็เช่น Cameron ที่มาเลเซีย, Sapa และ Dalat ที่เวียดนามไรงี้ ตอนนี้ผมจะพามาชะโงกทัวร์เมืองนี้กันไปแบบพลางๆ แบบว่าเอาดูไว้เป็นข้อมูลเผื่อผ่านทางไปแถวๆนี้ครับ (พูดเหมือนตั้งอยู่แถวๆนนทบุรีงั้นละ 555+)
เมืองนี้เป็นเมืองหลบร้อนเมืองเดียวของ อเมริกันชน สมัยที่มาตั้งป้อมอยู่ที่ฟิลิปปินส์ มรดกตกทอดสไตล์ตะวันตกเลยมาอยู่ที่เมืองนี้เต็มไปหมด แถมทางการเดินทางมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ ถนนวกไปเวียนมาจนคนเมารถอ๊วกจะแตกไปหลายรอบ
Banaue rice terrace
นาขั้นบันไดที่ Banaue เป็นหนึ่งในนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดของโลก การมา Banane แนะว่ามาต่อจาก Baguio จะเป็นอะไรที่ลงตัว การเที่ยวจะทำได้เป็นลูปพอดีครับ ทีนี่มีโรงแรม ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายสำหรับนักเดินทาง โดยที่ Banaue จะมีนา 2 ผืน ที่เราสามารถไปเที่ยวได้คือ Banaue และ Batad
ที่ Batad จากต่างจากที่ Banaue ตรงที่ผืนหน้าขั้นบันไดเกิดจากการเจาะเข้าไปในภูเขาเลย ซึ่งอันนี้เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ชาวบ้านสมัยโบราณมีแล้ว ถือว่าเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ จนยูเนสโกมอบมรดกโลกอันทรงคุณค่าให้แล้วครับ
Travel tips
- ค่าที่่พัก : 300-500 คน/คืน (Hostel)
- อาหาร : 80-100 บาท/มื้อ (แบบจัดเต็ม)
- การเดินทางจาก Manila มาที่ Banaue เนื่องจากตั้งอยู่กลางหุบเขา วิธีการเดินทางเข้าออกมีวิธีเดียวเท่านั้นคือ “รถโดยสาร” Ohayami Trans, http://www.ohayamitrans.com ท่ารถบัสและซื้อตั๋ว : Lacson Ave cnr Fajardo St, Sampaloc, Manila (GPS 14.607446, 120.994558) รอบและเวลา : มีออกทุกวันเป็นรถแอร์นอนครับ (ตอนจองย้ำว่า VIP นะครับ)
- การเดินทางไป Banaue rice terrace เนื่องจากนาข้าวอยู่ห่างจากเมืองประมาณ 5-6 กิโลเมตรได้ ถ้าชอบเดินก็เดินลุยเอาได้เลยครับ วันนึงพอดี แต่ถ้าขี้เกียจเดินก็จ้างรถสามล้อไปกลับก็โอเค การเดินทางไป Batad rice terrace เลือกได้
- เดินไปที่สำนักงานท่องเที่ยว (Tourist center) ให้เขาหาสามล้อพร้อมไกด์นำทางได้เลย
- หาสามล้อเอาเองตามท้องถนนครับ คุยได้เลย คนที่นี่ส่วนใหญ่สื่อสารภาษาอังกฤษได้หมด
- อยากประหยัดมากๆ ให้ไปขึ้นรถ Public jeep ครับ แต่เวลาค่อนข้างตึงไปนิด ทางที่ดีไปหาเพื่อนมาแชร์ดีกว่า
เมืองโบราณบีกาน (Vigan)
อีกหนึ่งเมืองต้องห้ามพลาดจริงๆในความคิดของผม เพียงแต่ด้วยความที่เมืองนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากมะนิลาพอสมควรและไม่ได้อยู่เส้นทางท่องเที่ยวหลัก คนเราเลยมองข้ามไปเยอะ ทีนี้ถ้าลองมาทำแผนดีๆให้อยู่ต่อจากบาเกียว ทุกอย่างจะลงตัวครับ เมืองบีกาน (Vigan) ด้วยความที่เป็นอดีตอาณานิคมสเปน ก็เลยได้รับอิทธิพลของสเปนมาทั้งดุ้นไม่ว่าจะเป็น ตึกรามบ้านช่องที่เหมือนกันอย่างกับคลอดมาจากแม่ท้องเดียวกัน อากาศร้อนๆ เหมือนกับเรากำลังเดินอยู่แถบเมดิเตอร์เรเนียน คนพูดจากันใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วกว่าภาษามือ นอกจากสถาปัตยกรรมอันเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนแล้ว รถม้าพร้อมสารถีที่วิ่งไปมาอยู่ทั่วเมืองก็คือสิ่งที่ช่วยทำให้เมืองเล็กๆแห่งนี้ เต็มไปด้วย “ชีวิตและชีวา”
การเดินทางจากมะนิลามาบีกาน
- ให้เริ่มต้นจากเมืองหลวงมะนิลา จุดศูนย์กลางของประเทศ รถบัสไปที่สถานีรถบัส “Cubao Quezon City, Metro Manila” (มะนิลามีหลายสถานี ให้ไปที่นี่นะครับ) จะมีรอบรถบัสหลายรอบมาก ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า หรือตอนกลางคืน เวลาเดินทางทั้งหมด : 10 ชั่วโมง (แนะนำนั่งกลางคืนเพื่อประหยัดค่าที่พักและเวลาไปในตัว)
เช็ครอบเวลารถบัสได้จาก http://www.phbus.com/partas-bus/
หรือเช็คเวลาและจองตั๋วได้เลยจาก https://www.pinoytravel.com.ph/
…
คำเตือน!!! : ระบบรถบัสในฟิลิปปินส์เรียกได้ว่า ล้าหลัง กว่าไทยมาก ถ้าไปซื้อตั๋วที่สถานทีซื้อล่วงหน้าไม่ได้นะครับ ได้แค่ก่อนรถออกประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วรถนอนตั๋วก็เต็มเร็วในบางวัน วิธีการลดความเสี่ยงทำได้วิธีเดียวคือ ซื้อตั๋วผ่านบริษัทเอเจนซี่นั่นเองครับ (ราคาแพงกว่าไปซื้อเองประมาณ 10%)
ไปเที่ยวกี่วันดี??
สำหรับผมแล้ว ถ้าเอาแต่เกาะลูซอน ควรจะมีเวลาอย่างน้อยก็ 7 วัน ถึงจะเก็บที่หลักๆได้ครบ คือ
เส้นทางท่องเที่ยวของเกาะลูซอน แบ่งได้ 2 แผนคือ จะขึ้นเหนือ หรือ ลงใต้ แล้วแต่เราครับ โดยเอามะนิลาเป็นศูนย์กลาง
- Manila เที่ยวเมืองเก่า Intramulos และเดินเล่นย่านมากาตีที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่สิงค์โปร์ ใช้เวลา 2 วันกำลังดี
-
ถ้าเราลงใต้ แผนจะเป็นแบบนี้
- Tagaytay เมืองตากอากาศบนภูเขาที่อยู่ใกล้มะนิลา ไปเที่ยวทะเลสาบในทะเลสาบ ที่เรียกว่า Taal volcano crater lake จะไปเช้าเย็นกลับจากมะนิลาก็ได้ แต่แนะนำให้ไปนอนค้างซักคืนจะฟินกว่าเยอะครับ
- Taal heritage village สำหรับคนที่มาด้าน Tagaytay อาจจะลงมาต่อที่ Taal village ได้ มาดูเมืองเก่าแบบสเปน และชม Taal basilica โบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
- Fortune island นั่งเรือมาดูสิ่งก่อสร้างปรักหักพังอารยธรรมกรีกที่เกาะ Fortune island
- ถ้าเราขึ้นเหนือ แผนจะเป็นแบบนี้
- Pinatubo trekking เดินเขาดูทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
- Baguio ไปเมืองหลวงฤดูร้อนของตะวันตกในสมัยยุคอาณานิคม
- Banaue rice terrace หนึ่งในนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Vigan เมืองมรดกโลกของยูเนสโก ที่ถนนเป็นปูด้วยหิน บ้านสไตล์โคโลเนียล สวยสุดๆไปเลย
การเดินทางภายในเกาะลูซอน
- ถ้าเน้นประหยัดก็ใช้ Public bus ข้อดีคือถูกครับ รถจากมะนิลาจะมีไปที่ต่างๆ ตามที่ผมว่า ขึ้นรถได้ที่ Pasay หรือ Cubao bus terminal มีหลายบริษัทมากๆ ไปเลือกเอาตามความชอบ แต่ให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆ เพราะกินเวลามากๆ
- ถ้าเน้นสบายหรือมีกลุ่มเพื่อนไปแชร์ ผมแนะนำเช่ารถขับนะครับ เริ่มต้นที่สนามบินเลย ตอนส่งคืนก็มาส่งที่สนามบินครับ สะดวกมาก แต่เขาจะขับพวงมาลัยซ้าย ขับชิดเลนขวา ตรงข้ามกับบ้านเราเกือบทั้งหมด ถ้าไม่ถนัด พอได้รถมา แนะนำว่าอย่าขับเข้าเขต Metro manila เด็ดขาด ให้ขับออกนอกเมืองไปเที่ยวให้คุ้นชินก่อน แล้วค่อยขับเข้าเมืองหลวงครับ
ค่าใช้จ่าย
- ค่าเครื่องบิน Air Asia ไฟลต์ไปกลับกรุงเทพ-มะนิลา อยู่ราวๆ 7,000 พันบาท บวกลบนิดหน่อย
- ค่าอาหารของที่นี่ ถ้ากินตามมาตรฐาน คิดว่ามื้อหนึ่งน่าจะอยู่ราวๆ 100-150 บาท ได้ครับ
- ค่ารถโดยสารไปเมืองต่างๆ ก็เผื่อๆไว้ที่ ขาละ 300-400 บาท แต่ถ้ามีหลายคนก็เช่ารถขับเลยดีกว่า ค่าเช่าวันละ 1,200 – 1,400 บาท สะดวกกว่ามาก
- ค่าที่พัก เอาแบบพักสบายๆดีๆ ก็คืนละ 1,000 – 1,200 บาท
- สรุปเลย ถ้าไปเที่ยวประมาณ 7 วัน น่าจะอยู่ราวๆ 20,000 – 25,000 บาท จะปรับเพิ่มหรือลดก็อยู่ที่เรา
It’s more fun in Philippines
คงไม่ได้เป็นอะไรที่เกินเลยสำหรับประเทศแห่งหมู่เกาะที่นี่เป็นเสมือนอีกโลกหนึ่งที่จะว่ามีความเหมือนคนไทยก็ว่าได้ แต่ถ้าจะมองว่าไม่เหมือนเลยก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นจุดหมายการเดินทางสำหรับระยะเวลาสั้นๆที่เหมาะมากๆอีกแห่งสำหรับพวกเรา ไม่ว่าจะมาคนเดียว มากับเพื่อน มากับคู่รัก หรือว่ามากันเป็นครอบครัวใหญ่ครับ
ได้เวลาแล้วก็ต้องลุยครับ!!!
ท่านใดอยากเข้าไปชมคลิปทริปฟิลิปปินส์ของผมเข้าไปชมตามลิ้งค์นี้ได้เลยครับ>>>http://facebook.com/watch/?v=303851586875319
อ่านบทความเกี่ยวกับการเดินทางอื่นๆของพวกเรา >>>https://worldwantswandering.com/