ศรีลังกา… ถ้าไม่มาก็คงยังไม่รู้จัก
สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับ 5 วัน 4 คืน 3 เมือง
COLOMBO
- วัดกัลณียา (Kelaniya Raja Maha Vihara)
- วัดคงคาราม (Gangaramaya Temple)
- มัสยิดแดง (Jami UI-Alfar Mosque)
- Independence Square
- Ministry of CrabDAMBULLA
- วัดถ้ำดัมบุลลา (Dambulla cave temple)
- พระราชวังลอยฟ้า สิกิริยา (Sigiriya)
- Pidurangala RockKANDY
- วัดพระเขี้ยวแก้ว (Sri Dalada Maligawa)
- ระบำแคนดี้ (Kandyan Dance)
เรื่องที่ควรรู้ก่อนมาศรีลังกา
- มีบินตรงจากไทยมา 3 ชั่วโมง
- เวลาที่ศรีลังกาช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมง 30 นาที
- Visa ท่องเที่ยวได้ 30 วัน 35 USD
- เที่ยวได้ตลอดทั้งปี อุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส
- การเข้าวัดต้องถอดรองเท้า และควรใส่ชุดขาวสุภาพ
- มีการคมนาคมสาธารณะข้ามผ่านทุกเมือง
- ค่าครองชีพถูกกว่าเมืองไทย
- ผู้คนเป็นมิตร ใจดี ยินดีบริการ
- ภาษาที่ใช้คือทมิฬ แต่คนที่นี่พูดภาษาอังกฤษกันได้ดี
- King Coconut คือผลไม้ขึ้นชื่อที่ต้องลองชิม
- มีมรดกโลกอยู่ที่นี่มากถึง 8 แห่ง
ยินดีต้อนรับเข้าสู่เกาะในมหาสมุทรอินเดียที่มีชื่อว่า “ศรีลังกา” ตามมาชมกันได้เลย
โคลอมโบ COLOMBO
เมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของศรีลังกา สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างตะวันตกและอินเดีย เพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษและเป็นเมืองท่าที่อยู่ติดทะเลส่งออกสินค้าสำคัญจำพวกยางพารา มะพร้าว และชา จึงเป็นเมืองที่มีการคมนาคมคึกคัก ศูนย์รวมทางด้านเศรษฐกิจ ผู้คน จึงรวมกันอยู่ที่นี่
การคมนาคมที่นี่มีทั้งเรือ รถบัส รถไฟ แต่ที่เห็นพลุกพล่านกันในเมืองหลวงก็เห็นจะเป็นตุ๊กๆนี่แหละครับ
ตึกรามบ้านช่องแน่นขนัดเหมือนกัน การจราจรก็เต็มไปด้วยรถหลายประเภท แต่แม้ว่าจะมีตึกอาคารมากมายแค่ไหน ก็จะมีการปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่นเสมอ
วัดกัลณียา หรือชื่อเต็ม เกลานียาราชมหาวิหาร (Kelaniya Raja Maha Vihara)
เป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศรีลังกาอยู่ในโคลอมโบมีความเก่าแก่มากสร้างเมื่อ 1900 ปีมาแล้ว
ชาวศรีลังกาเชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมายังวัดแห่งนี้ในวันวิสาขบูชาพร้อมกับพระอรหันต์อีก 500 รูป ภายในจึงมีงานจิตรกรรมฝาผนังถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆเอาไว้มากมายอย่างสวยงาม จากฝีมือช่างสมัยโบราณ เจดีย์ที่นี่เป็นทรงลอมฟาง มีขนาดใหญ่มาก ดูขาวเรียบสบายตา
บริเวณวัดมองไปรอบๆก็จะเห็นคนนั่งสมาธิข้างกำแพง ตามทางเดิน หรือจุดไหนที่นั่งได้ก็จะมีคนนั่งสมาธิ หรือนั่งท่องบทสวดเต็มไปหมด ภายในวัดก็จะภาพวาดตามฝาหนังเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาทางศาสนาสมัยโบราณ
วัดคงคาราม (Gangaramaya Temple)
เป็นวัดของนิกายสยามวงศ์ที่ผสมผสานความเป็นศรีลังกา อินเดีย ไทย และจีน เข้าด้วยกันออกมาในรูปแบบสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมมีพระพุทธรูปมากมายภายในวัด เหมือนเป็นแหล่งรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมีค่าทางพระพุทธศาสนาไว้ที่นี่ ด้านนอกวัดก็จะเป็นภาพวาดที่แกะสลักเรื่องราวต่างๆไว้สวยงามเช่นกัน เป็นงานที่ปราณีตมาก
มัสยิดแดง (Jami UI-Alfar Mosque)
สถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่มีสีแดงเด่นสะดุดตัวไปทั่วอาคารสลับกับสีขาว มีความผสมผสานระหว่างอินโดและอินเดียเข้าด้วยกัน แต่มาแล้วเข้าไม่ได้ได้แต่เยี่ยมชมข้างนอก เพราะเขาให้แต่ผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนากันเข้าเท่านั้นน่าเสียดาย ด้านนอกจะมีทางเข้าอยู่ 4 ประตูติดกับถนนที่ผู้คนและรถสัญจรไปมากว่าจะบางตาถึงได้รูปนี้มาการจราจรแน่นขนัดและคนเดินสวนไปมาเยอะมาก แดงเด่นสะดุดตาอยู่กลางชุมชน
Independence Square
สถานที่ประกาศอิสรภาพจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษประมาณ 200 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นสวนสาธารณะที่พักผ่อนหย่อนใจ หรือถ่ายรูปและเยี่ยมชมห้องโถงและอนุสาวรีย์นายกรัฐมนตรีคนแรกของศรีลังกานั่นก็คือท่าน Don Stephen Senanayake บรรยากาศดี ลมพัดตามช่องโถงตลอด ทำให้หลายคนมักมานั่งเล่นพูดคุยกันที่นี่
Ministry of Crab
ร้านปูที่ดังที่สุดในโคลอมโบ อร่อยมาก ปูตัวโตๆมีให้เลือกกันหลายรสชาติว่าจะนำไปคลุกกับอะไรไม่ว่าจะเป็นผัดผงกะหรี่ พริกไทย หรือเนยที่นี่จะมีไซส์ให้เลือกว่าจะเอาขนาดไหนกี่กรัม ย้ำว่าควรลองสั่งขนาดเล็กมาก่อน เพราะลองแล้วมันยังใหญ่มากกกกกก นอกจากนี้ยังมีพวกอาหารทะเลอื่นๆให้สั่งอีก กุ้ง หอย ปู ปลา จัดมาให้เต็ม อร่อยทุกเมนู ย้ำว่าต้องมาลอง
จากที่ชิมมาทุกรสชาติ พริกไทยดำคือเด็ดสุด รสชาติเข้มข้นถึงใจ ไม่เผ็ดมาก อร่อยติดปากสุดๆ
ดัมบุลลา DAMBULLA
เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของการกระจายผักในประเทศ และยังเป็นเมืองแห่งมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมที่มีถ้ำเก่าแก่อยู่ที่นี่ผู้คนจึงหลั่งใหลมาก่อนที่จะไปสีกิริยาซึ่งอยู่ไกลกันประมาณ 24 กิโลเมตร ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองที่มีภูเขาเยอะ สถาปัตยกรรมทางด้านประวัติศาสตร์จึงผสมผสานไปกับธรรมชาติที่มีถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นอยู่ครั้งก่อนให้เราได้ชมกัน สถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากจึงอยู่ไม่ในถ้ำก็บนเขากัน
วัดถ้ำดัมบุลลา (Dambulla cave temple)
เป็นวัดที่ตั้งอยู่ภูเขาและมีถ้ำที่มีพระพุทธรูปเก่าแก่อยู่ข้างในมากมายรวมทั้งภาพเขียนบนผนังถ้ำที่เล่าเรื่องราวสมัยก่อนเอาไว้ได้รับรองจากยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม ถ้ามาศรีลังกาต้องเข้ามาชมให้ได้มีทั้งหมด 5 ถ้ำที่เรียงติดต่อการยาวๆ ในแต่ละถ้ำก็จะมีเรื่องราวที่แตกต่างกัน
ในนี้ห้ามถ่ายรูปคนกับพระพุทธรูปด้วยนะ เขาถือกันอย่างมาก ถ้าใครถ่ายจะมีเจ้าที่มาบอกให้ลบทันที
ด้านในถ้ำจะมีช่องหน้าต่างที่ทำให้แสงสาดเข้ามากระทบกับพระพุทธรูปและภาพเขียนสวยมาก
พระราชวังลอยฟ้า สิกิริยา (Sigiriya)
สิกิริยา พระราชวังลอยฟ้า หรือที่เขาเรียกกันว่าเมืองคนบาปที่ได้รับการยกย่องขึ้นมรดกโลกจากยูเนสโกที่ตั้งอยู่บนภูเขาด้านเป็นเป็นพระราชวังที่เหลือเพียงซากปรักหักพังแล้ว มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ เขาเล่าว่า แต่ก่อนสร้างเพื่อให้กษัตริย์เสพสำราญกับนางสนม และก็คือลูกชายที่ฆ่าพ่อตัวเองเพื่อชิงบัลลังก์แล้วก็หนีมาเพื่อไม่ให้พี่ชายตามมาฆ่าได้จึงสร้างพระราชวังลอยฟ้านี้ขึ้นมาแต่สุดท้ายก็มีเหตุทำให้ต้องลงมาแล้วก็โดนพี่ชายฆ่าจนตาย
นอกจากนั้น ยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นภาพเขียนสีเฟรสโก ที่วาดแล้วต้องใส่ใจปราณีตมากๆพอวาดแล้วจะลบไม่ออก พลาดไม่ได้ เพราะสีจะติดทนนานมาก แต่ไม่สามารถบันทึกภาพได้
ทางเดินขึ้นมาชันมากกว่าจะเดินขึ้นมาถึงบางคนต้องเดินถึง 1 ชั่วโมง เพราะมีบันไดมากถึง 1,200 ขั้นเวลาขึ้นมาที่นี่ควรพกน้ำมาด้วย เพราะอากาศร้อนมากครับ
ด้านบนจะเห็นวิวภูเขาและด้านล่างโดยทั่ว แดดที่ว่าร้อน ยังไม่สู้ลมที่แรงมาก ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนเขาอยู่ได้ยังไง ยืนนิ่งๆยังแทบจะปลิว ถ้าฝนตกคงชุ่มฉ่ำน่าดู
มองลงไปด้านล่างจะเห็นว่าทางเดินกว่าจะขึ้นมาบนเขาได้ยาวไกลมาก มิน่าที่ตรงนี้จึงเป็นพระราชวังลอยฟ้า ที่เปรียบเหมือนที่หลบภัยและคอยระวังคนปองร้ายเข้ามา เมืองคนบาปที่ต้องป้องกันตัวเอง
บนพระราชวังลอยฟ้าที่ตอนเหลือแต่ซากปรักหักพังจนไม่เหลือเสาโครงสร้างทำให้ด้านบนเป็นที่โล่งไปหมดจึงทำให้สามารถเดินทะลุไปตรงไหนก็ได้ นั่งเล่นชมวิวถ่ายรูปวิวไปแทบเจอใครเลยเพราะด้านบนกว้างมาก แต่ก็ต้องคอยเดินอย่างระวังไม่งั้นอาจจะตกเขาได้ เพราะอยู่ด้านบนสุด
ทางขึ้นเขามันก็จะประมาณนี้ เดินชันตั้งแต่ก้าวแรกยันถึงยอดเขาเลยครับ ขาลุยต้องมา
Pidurangala Rock
จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สามารถมองเห็น Sigiriya Rock อยู่ตรงข้าม ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง
ช่วงแรกจะเป็นบันได สักพักก็จะต้องมีปีนป่ายกันขึ้นก้อนหินบ้างทางชันพอสมควร ต้องระมัดระวังในการปีน แต่ระหว่างก็จะมีคนเดินขึ้นลงเรื่อยๆ ยื่นมือคอยช่วยเหลือเสมอ
บนเขาวิวมองเห็น 360 สวยมาก เห็นภูเขาลูกอื่นๆที่อยู่ไม่ไกลด้วย คุ้มค่ากับการปีนขึ้นมาจริงๆ แต่แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบมานะครับ ไม่งั้นอาจจะลื่นลงเขาได้ ส่วนมากจะไม่ค่อยเจอนักแสวงบุญที่นี่เพราะเขาจะขึ้น Sigiriya กัน ถ้าใครสายผจญภัยอยากมองเห็น Sigiriya ทั้งเขาไกลๆต้องมาขึ้นที่นี่ครับ แล้วเราจะได้เห็นความแตกต่างที่น่าทึ่งว่าคนสมัยก่อนเขาขึ้นไปอยู่บนนั้นกันได้อย่างไร
ด้านบนก็จะเห็นวิวต้นไม้และบ้านเมืองประมาณนี้ เวลายืนต้องระวังนิดหนึ่งครับ เพราะไม่มีรั้วกันอะไร เป็นหินเปลือยๆขนาดใหญ่ให้ยืนชมวิวกัน
ส่วนมากคนที่ขึ้นมาชมวิวตรงจุดนี้จะเป็นชาวต่างชาติโซนตะวันตก มักไม่ค่อยเห็นชาวศรีลังกาขึ้นมาชมวิวตรงจุดนี้เท่าไหร่รวมทั้งคนไทยด้วย มีก็ส่วนน้อย อาจจะเป็นเพราะทางเดินที่ขึ้นยาก แต่ถ้าใครขาลุย รองรับเดินขึ้นไหวครับ อาจจะชิลด้วยซ้ำ เพราะทางชันขึ้นง่าย ยากแค่ช่วงท้ายๆ
แคนดี้ KANDY
เป็นเมืองที่อยู่กลางเกาะบนที่ราบสูงระหว่างหุบเขาที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าก่อนโคลอมโบจึงใหญ่เป็นอันดับ 2 นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนกัน วิวสวยบรรยากาศดี มีภูเขาและทะเลสาบกลางเมือง อีกทั้งยังเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจและเป็นแหล่งเกษตรกรรมแห่งใหญ่ของศรีลังกา การทำนา ปลูกชา จึงมีให้เห็นที่นี่อยากแพร่หลาย นอกจากนี้ยังมีพระเขี้ยวแก้วซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลังกาอยู่ที่นี่ด้วย
เนื่องด้วยภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาซะส่วนใหญ่ทำให้บ้านเรือนต่างๆจึงปลูกสร้างกันตามแนวเขา สวยงามไปอีกแบบ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่โอบล้อม เขียวชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี ที่นี่ต้นไม้เยอะมากครับ
ระหว่างทางสังเกตว่าจะมีแม่น้ำตัดผัดเขาตลอด จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมที่นี่จึงชุ่มชื้น อากาศดี
ระบำแคนดี้ (Kandyan Dance)
ระบำพื้นพื้นเมืองของแคนดี้ เป็นระบำที่มีชื่อเสียงจะแสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการระบำ มีจังหวะจะโคนด้วยใช้กลองนำ เป็นการแสดงที่สนุก มีกายกรรมผสมเล็กน้อยลักษณะท่าทางเข้มแข็ง มีตีลังกาสร้างความน่าตื่นเต้นและเร้าใจด้วย สามารถเข้าชมได้ระหว่างรอเข้าชมพระเขี้ยวแก้วได้เลย เดินไปไม่ไกล
พระเขี้ยวแก้ว (Sri Dalada Maligawa)
เป็นวัดที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกของยูเนสโก เคยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังโบราณ สร้างโดยกษัติย์องค์สุดท้ายของแคนดี้คือพระเจ้าศรีวิกรมราชสิงหะ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของชาวศรีลังกาไว้ที่นี่นั่นก็คือพระทันตธาติของพระพุทธเจ้าหรือฟันนั่นเอง ซึ่งสวยงามมาก มีความเชื่อว่าหากนำพระเขี้ยวแก้วออกมาแห่จะทำให้ฝนตก ไม่แห้งแล้งอีกทั้งยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวศรีลังกา ผู้คนจึงหลั่งใหลกันเข้ามานั่งสวดและทำพิธีทางศาสนากันมากมาย บริเวณรอบๆจะผู้คนจะหลั่งใหลมาจุดเทียนเสริมสิริมงคลกันมาก จนเกิดแสงไฟสีสวยตระการตา กลิ่นธูปคละคลุ้งไปพร้อมกับคำอธิฐานที่หวังว่าจะนำความสว่างส่องเข้ามาให้ชีวิต
ถ้าใครจะเข้าไปชมพระเขี้ยวแก้วต้องต่อคิวเข้าไปชมและห้ามถ่ายรูปเปิดให้เข้า 3 ช่วงคือ
- 05.30 น. – 07.00 น.
- 09.30 น. – 11.00 น.
- 18.30 น. – 19.45 น.
ศาสนานับว่าเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนที่นี่มาก ความรัก ความศรัทธาเปี่ยมล้นที่มากด้วยผู้คนหลั่งใหลมาไม่ขาดสาย ที่นี่จึงเป็นเหมือน wishlist ถ้ามาศรีลังกาต้องมาเห็นพระเขี้ยวแก้วให้ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแห่งศรีลังกา
บทส่งท้าย
การมาศรีลังกาครั้งนี้ได้เที่ยวถือว่าเป็นทริปเที่ยวที่เน้นชมความงามของมรดกโลกอันโด่งดังของศรีลังกา ที่มีความเป็นมาทางด้านศาสนา วัฒนธรรม ครั้งสมัยก่อนให้ผมได้สัมผัสเป็นครั้งแรก ทำให้รู้สึกอินกับประวัติศาสตร์จากที่เคยแค่ได้ยินมา จนตอนที่ได้มาเห็นกับตามันให้ความรู้สึกเหมือนได้ยินกลับไปอยู่ในเรื่องราวนั้นๆ
เพราะที่นี่ยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งความเก่าแก่ไว้ทุกอย่าง นอกจากนี้ยังมีความงามของธรรมชาติที่แทรกซึมอยู่ทุกอณูคู่พื้นฐานการก่อสถาปัตยกรรมที่หลอมรวมความเป็นตะวันตกและอินเดียเข้าไว้ด้วยกัน บางส่วนก็คล้ายกับไทย คงเป็นวัฒนธรรมที่ตกทอดกันมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ทำให้การมาเยือนศรีลังกาครั้งนี้เป็นครั้งแรก คงต้องรู้จักกันให้มากขึ้นครั้งต่อๆไปแน่นอน…
ติตดามการเดินทางของพวกเรา >>>https://worldwantswandering.com/