กรีนแลนด์ (Greenland) ดินแดนสีขาวชื่อสีเขียว
- ด้านตะวันตก (West) เป็นด้านที่มีคนอาศัยอยู่มากกว่า เจริญกว่า สนามบินหลัก โรงแรม สาธารณูปโภค จะมากกว่า เป็นเมืองที่คนมาท่องเที่ยวมากกว่า เมืองที่คนแวะเที่ยวกันหลักคือ อิลูลิชแซต (Ilulissat) นุก (Nuuk) คังเกอร์ลุสซวก (Kangerlussuaq) จำชื่อยากนิดนึงนะครับ เพราะคำพวกนี้เป็นภาษาท้องถิ่นนั่นเอง
- ด้านตะวันออก (East) มักจะเป็นด้านที่คนมาล่องเรือกัน ดิบกว่ามาก ผมยังไม่เคยไปแต่เขาว่ากันว่าโคตรสวยครับ หมดโควิดเมื่อไรอาจจะได้ไปอีกครั้ง ซึ่งเรื่องราวของอัลบั้มนี้จะเน้นที่ด้านตะวันตกเป็นหลักครับ
แผนการเดินทางมาตรฐานกรีนแลนด์
การเดินทางในกรีนแลนด์
จาก โคเปนเฮเกน (Copenhagen) เราขึ้นเครื่องบินของสายการบินประจำชาติอย่าง แอร์กรีนแลนด์ (Air Greenland) ซึ่งเป็นสายการบินเดียวที่พาเราข้ามจากภาคพื้นทวีปยุโรปมายังเกาะที่ใหญ่ที่่สุดของโลกแห่งนี้ จะกล่าวว่า ทุกไฟลต์การเดินทางจากเดนมาร์ค เราจะต้องมาลงที่เมืองที่ชื่อว่า เมืองคังเกอร์ลุสซวก (Kangerlussuaq)
คังเกอร์ลุสซวก (Kangerlussuaq) เป็นเมืองเดียวที่มีสนามบินพาณิชย์ที่มีรันเวย์ขนาดมาตรฐานให้เครื่องบินขนาดใหญ่ลงได้เพียงสนามบินเดียวทางฝั่งตะวันตกของเกาะแห่งนี้ อย่างไรก็ตามบางท่านอาจเดินทางมาจากไอซ์แลนด์ ซึ่งจะมีทางเลือกในการเดินทางที่มากกว่า
กรีนแลนดิคไอซ์ชีต (Greenlandic Ice Sheet)
ภาษาไทยเรียกว่า “พืดน้ำแข็งกรีนแลนด์” เราไม่ค่อยคุ้นกับคำนี้เท่านั้น เพราะ นิยามคำว่า พืดน้ำแข็ง จะหมายถึงธารน้ำแข็งที่มีขนาดพื้นที่มากกว่า 50,000 ตารางกิโลเมตรขึ้นไป ซึ่งในโลกปัจจุบันนี้มีเพียงแค่ที่ กรีนแลนด์ และ แอนตาร์คติกา เท่านั้นครับ พืดน้ำแข็งพวกนี้ถือเป็นธารน้ำแข็งที่เก่าแก่ที่สุดของโลกอายุมากว่า 10 ล้านปีขึ้นไป และด้วยความมหึมาของพืดน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่กินพื้นที่กว่า 79% ของเกาะ
ว่ากันว่าถ้าน้ำแข็งของกรีนแลนด์ละลายทั้งหมด จะทำให้ระดับน้ำในทะเลสูงขึ้นกว่า 7.2 เมตร นั่นคือเมืองหลายๆเมืองบนโลกเราจะจมอยู่ใต้ทะเล สถานที่เที่ยวพวกบรรดาธารน้ำแข็งต่างๆในกรีนแลนด์ ก็คือ เศษของน้ำแข็งที่แตกตัวออกมาจากผืดน้ำแข็งแล้วไหลลงสู่มหาสมุทรนั่นเอง
เมืองอิลูลิชแซต (Ilulissat)
เมืองท่องเที่ยวสำคัญ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย มีมรดกโลกทางธรรมชาติอย่าง อิลูลิชแซต ไอซ์ฟยอร์ด (Ice fjord) ความยาวกว่า 70 กิโลเมตร สถานที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็ง และภูเขาน้ำแข็งมากมายในฤดูหนาวสีสันที่สดใสของบ้าน ตัดกับสีขาวของหิมะ คล้ายภาพหมู่บ้านในการ์ตูนของเด็ก
เมืองอิลูลิชแซต (Ilulissat) ตั้งอยู่ริมอ่าวดิสโก้ (Disco bay) ซึ่งเป็นจุดที่ฟยอร์ดน้ำแข็ง Ilulissat Icefjord ซึ่งมีความยาวประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นทางออกของก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ จากผืดน้ำแข็งกรีนแลนด์ไหลออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติค
Hiking “The World Heritage Trail” เดินชมธารน้ำแข็งเส้นทางมรดกโลก
สถานที่ที่ไม่มีถนนเข้าถึง อาศัยการเดินเท่านั้น เส้นทางบนสะพานไม้ที่ทอดยาวตลอดแนว ที่ บริเวณ Sermermiut มีการขุดพบหลักฐานทางประวิติศาสตร์อายุกว่า 4,000 ปีความยิ่งใหญ่ของ ฟยอร์ดน้ำแข็งอิลูลิชแซต (Illulissat Ice fjord) ซึ่งจะพาไปสู่แหลมที่จะสามารถมองเห็นภูเขาน้ำแข็งตั้งตระหง่านทอดแนวยาวคู่ขนานกับชายฝั่งด้านใต้น้ำเป็นภาพ
ประติมากรรมอันน่าทึ่งของภูเขาน้ำแข็งขาวโผลนไปสุดลูกหูลูกตา เสน่ห์ของเมืองนี้ คือ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ รวมไปถึงวัฒนธรรมของชาวกรีนแลนด์ดิก ท่าเรือของชาวประมง และอุตสาหกรรมการประมงอันทันสมัย เป็นแหล่งอาหารรวมถึงการส่งออก
การล่องเรือชมอ่าวดิสโก้ จะทำให้เราได้สัมผัสกับฟยอร์ดน้ำแข็งได้ในระยะประชิดและเป็นกิจกรรมที่ห้ามพลาด ในฤดูร้อน นอกเหนือจากธารน้ำแข็งมหึมาที่เราจะได้เห็นแล้ว ยังวาฬสารพัดชนิดที่สามารถเห็นได้
ในช่วงฤดูร้อน สุนัขลากเลื่อนทั้งหลายจะถูกเลี้ยงไว้ในฟาร์มที่เป็นบริเวณอย่างปลอดภัย เนื่องจากสุนัขพวกนี้ยังคงสัญชาตญาณสุนัขป่าไว้ทุกประการ แต่ในยามฤดูหนาวเมื่อน้ำแข็งๆตัวพอ ชาวกรีนแลนด์จะใช้สุนัขลากเลื่อนในการเคลื่อนที่ไปยังจุดต่างๆ เนื่องจากถนนหนทางในปัจจุบันมีเพียงแค่ในเมืองเท่านั้น
เมืองอิลูลิชแซต มีโรงแรมอยู่หลายแห่งก็จริง แต่ถ้าให้แนะนำว่าต้องมาพักที่ไหนแล้ว เห็นที่จะไม่พ้นโรงแรมแห่งนี้คือ
ที่นี่คือ Hotel Arctic โรงแรมในเครือข่ายเดียวกันกับสายการบิน Air Greenland เจ้าเก่า ชัยภูมิของโรงแรมนี้ตั้งอยู่บนเนินเขามองออกไปเห็น ฟยอร์ดน้ำแข็งอิลูลิชแซต (llulissat Ice fjord) แบบจากหน้าต่างห้องนอนเลยทีเดียว โดยห้องนอนทุกห้องจะหันหน้าออกเข้าสู่ทะเลทั้งหมด ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมระดับ 4 ดาวที่ตั้งอยู่เหนือสุดของโลก โรงแรมแห่งนี้รองรับแขกระดับ super VVIP มาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เช่น ระดับเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ถ้าท่านได้มาพักที่นี่ก็ไม่ต่าง VVIP เช่นกัน
แสงเหนือที่กรีนแลนด์
แสงเหนือ คือ เรื่องปกติของกรีนแลนด์ ด้วยจุดยุทธศาสตร์ของเกาะที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณขั้นโลกขั้นสูงสุด เกาะกรีนแลนด์จึงเป็นแหล่งสนามแม่เหล็กโลกพลังงานสูงที่คอยดูดอนุภาคจากบริเวณส่วนต่างๆของโลกมารวมกันที่พื้นที่เหล่านี้
แหล่งงานที่เราไม่อาจสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกทางกาย แต่พลังงานเหล่านี้ได้แปรสภาพเป็นความมหัศจรรย์บนท้องฟ้าที่ออกมาในรูปร่างของ “แสงเหนือ” ที่มีความรุนแรงและเห็นได้ชัดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่อื่นๆของโลก อาจต้องพึ่งพาพลังงานของลมสุริยะต้นกำเนิดของแสงเหนือในระดับปานกลางถึงสูง แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเกาะกรีนแลนด์ที่ขอเพียงแค่แรงกระเพื่อมเล็กน้อยจากดวงอาทิตย์เรา แสงเหนือก็พร้อมจะโชว์ตัวให้เราได้แทบจะทุกวินาที
และควรทราบอีกอย่างหนึ่งว่า “กรีนแลนด์” เป็นหนึ่งในพื้นที่ๆมีวันที่ฟ้าใสจำนวนวันมากกว่าใครๆ นับได้เป็นร้อยวันต่อปี มลภาวะทางแสงก็ถือว่าน้อยมากๆ จึงทำให้กรีนแลนด์ ได้รับการยกให้เป็น “สุดยอดสถานที่ชมแสงเหนือ” อันดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาวสามารถเเห็นแสงเหนือได้ง่ายเกือบแทบทุกคืนทั้งนี้ขึ้นกับสภาพอากาศและระดับความแรงนั่นเอง!
เมืองใหญ่สุดของกรีนแลนด์ ที่เพียบพร้อมไปด้วยความเจริญเทียบเท่าเมืองในยุโรป ประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญ ๆ มากมาย เช่น มหาวิทยาลัยกรีนแลนด์, สนามกีฬาแห่งชาติ, หอสมุด, รัฐสภา และ ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
เมืองหลวงแห่งนี้มีประชากรเพียงประมาณ 15,000 คนเท่านั้น (แต่ก็ยังคิดเป็นถึง 1/4 ประชากรทั้งประเทศ) ทำให้เป็นเมืองหลวงที่มีประชากรน้อยที่สุดของโลก เล็กขนาดเราสามารถเดินทั่วเมืองได้โดยเท้าสองข้างของเรา แต่ถึงจะเล็กขนาดนี้ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆก็ยังคงมี แม้กระทั่งห้างสรรพสินค้าครับตัวเมือง Nuuk นั้นถูกตั้งมาตั้งแต่สมัย ค.ศ. 1782 โดยมิชชันนารีชาวเดนิชนามว่า Hans Egede ซึ่งกลายเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ เราจะเห็นชื่อเขาได้ทั่วไปตามโรงแรม ถนน ต่างๆ โดยในช่วงแรกของการสร้างเมืองนั้น เขตเมืองเก่าจะอยู่บริเวณริมอ่าวและบ้านเรือนจะถูกแต่งแต้มสีสรรในรูปแบบของชาวสแกนดิเนเวียน ในขณะที่ในเขตเมืองใหม่จะเป็นอาคารพาณิชย์รวมถึงตึกสูงต่างๆ
ถ้าพูดถึงฟยอร์ดและธารน้ำแข็งแล้ว เมืองนุกอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงเมื่อเทียบกับเมืองเพื่อนบ้างอย่าง Illulissat อย่างไรก็ตามฟยอร์ดของที่เมืองนุกก็เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เพราะประกอบไปด้วยร่องน้ำที่ถูกขนาบด้วยเทือกเขาสูงสองฝั่ง และมีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่เป็นแหล่งต้นน้ำที่น้ำแข็งเมื่อละลายแล้วก็จะไหลลงสู่มหาสมุทรกลายเป็นระบบนิเวศวิทยาขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลาหลากหลายชนิด เช่น Cod, Redfish หรือ Arctic Charกิจกรรมขึ้นชื่อของเมืองนุกคือ การขึ้นเรือ Targa เดินทางไปชมธารน้ำแข็ง Narsap Sermia ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เราสามารถเข้าถึงได้ทางเรือเท่านั้น พร้อมทั้งแวะชมเมืองร้างที่อดีตเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่รัฐบาลสั่งให้ประชาชนอพยพเข้าไปในเมืองหลวง
สภาพแวดล้อมใน Nuuk fjord สวยเกินจะหาคำมาบรรยาย แล่นเรือออกมาอีกสักพัก เรือไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะพื้นผิวจับตัวเป็นน้ำแข็งทั้งหมด เรือเลยมาหยุดที่ตรงนี้ แต่บรรยากาศก็สวยพอที่จะทำให้ผมลืมจุดหมายปลายทางจริงๆไปสนิทใจ
หมู่บ้านร้าง Qoornoq
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวระหว่างทางไป Narsap Sermia คือการแวะที่หมู่บ้านร้างที่มีชื่อว่า Qoornoq ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้สั่งให้อพยพประชาชนไปอยู่ที่เมือง Nuuk หมดแล้วด้วยเหตุผลเรื่องการดูแล เพราะหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ห่างไกลและไม่มีถนนที่เข้าถึงได้ บ้านทุกหลังยังอยู่ในสภาพที่ดี เนื่องจากในฤดูร้อนส่วนใหญ่เจ้าของบ้านจะกลับมาบ้านในอดีตของตนเองและพักผ่อนในระยะเวลาหนึ่ง
คังเกอร์ลุสซวก (Kangerlussuaq) สนามบินแห่งกรีนแลนด์
ผมบินจากนุคมาต่อยังเมืองสุดท้ายของกรีนแลนด์ในทริปนี้ นั่นคือ เมืองที่ชื่อว่าและอ่านยากที่สุด คังเกอร์ลุสซวก (Kangerlussuaq) เมืองเดียวของกรีนแลนด์ที่มีสนามบินที่มีขนาดใหญ่พอที่จะให้ เครื่องบินจากภาคพื้นทวีปยุโรปสามารถลงจอดได้ คังเกอร์ลุสซวก (Kangerlussuaq) เป็นเมืองที่เกิดจากผลลัพธ์ของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทางกองทัพสหรัฐอเมริกาได้มาตั้งฐานทัพอากาศที่กรีนแลนด์เพื่อเป็นหน่วยสนับสนุนการรบของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้เกิดการสร้างสนามบินมาตรฐาน ณ เมืองแห่งนี้ หรือในชื่อ Sondrestrom Air Base ในเวลานั้น
ประชากรในเมืองนี้มีเพียงประมาณ 500-600 คน ซึ่งจะมากน้อยแปรผันไปตามแต่ในฤดูกาล และในช่วงฤดูร้อนเมืองนี้จะคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากเหล่าทหารอเมริกันจะเดินทางฝึกการรบ ณ เมืองแห่งนี้ ทำให้เศรษฐกิจของเมืองนี้ขึ้นอยู่กับธุรกิจการบินเป็นหลัก รวมถึงเรื่องของการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยเฉพาะการเข้าถึง Greenlandic Ice sheet ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นโลก ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากแอนตาร์กติกา และแน่นอนว่าพาหนะหลักในการไป ผืดน้ำแข็ง มันต้องเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่พร้อมจะลุยทุกสภาพถนนเท่านั้น
Ice Cap Point 660
Greenlandic Ice Sheet กรีนแลนดิคไอซ์ชีต คือ ประติมากรรมธรรมชาติบนพื้นพิภพที่ถูกสร้างมาหลายล้านปีมีส่วนประกอบไปด้วย หิมะ น้ำแข็ง ก๊าซ ละออง หรือ ของเหลวที่มารวมตัวกัน ถึงแม้เบื้องบนจะดูเหมือนพื้นน้ำแข็งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่เบื้องล่างไอซ์ชีตผืนนี้ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตมีวงรอบของการดำรงอยู่ มีการเจริญเติบโต มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยน้ำแข็งเหล่านี้จะเคลื่อนไหวตัวอย่างช้าๆเข้าสู่ทะเลในทุกๆวัน ความหนาโดยเฉลี่ยของผืนน้ำแข็งแห่งนี้คือ 2-3 กิโลเมตร
Ice Cap Point 660 คือจุดที่เป็นไอซ์ชีตที่เราสามารถเดินเข้าไปได้ด้วยรถยนต์ที่สมบุกสมบันผ่านทะเลทราย ทะเลสาบ และหุบเขาต่างๆ ก่อนที่จะทอดตัวลงสู่ผืนน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่ การได้มาเดินบนแผ่นน้ำแข็งนี้จะให้อารมณ์เสมือนหนึ่งว่าเราไม่ได้เดินอยูบนโลกใบนี้ ในภาพคือทะเลสาบระหว่างทางไป Ice Cap Point 660
ตัวเลข 660 คือตัวเลขความสูงของยอดน้ำแข็งแห่งนี้
ธารน้ำแข็งรัสเซล (Russel Glacier)
หน้าผาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่สูงกว่า 60 เมตร เดินบนธารน้ำแข็ง ความอลังการรอบทิศทาง 360 องศา ระหว่างทาง ผ่านทุ่งหญ้าทุนดรา ที่สามารถพบ Musk ox และเรนเดียร์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ
มองเห็นตัวอะไรไหมครับ ด้านล่างของภาพ ตัวนี้คือ Musk Ox ชื่อเหมือนวัว แต่จริงๆเป็นสัตว์ตระกูลแพะ ปีนเขา เดินเขา เก่งเป็นที่สุด และแน่นอนว่าคืออาหารชั้นดีของคนท้องถิ่นเพราะเป็นสัตว์ไม่กี่ชนิดที่สามารถเป็นเนื้อให้คนบริโภคได้
Musk Ox ระยะใกล้ขึ้น
และนี่ก็คือการเดินทางในกรีนแลนด์ของผมเอง
เอาไว้พบกันใหม่กับสถานที่ต่อไปครับ