มีความเข้าใจผิดมากมายเกิดขึ้น ผมเลยจะมาขอสรุปยามาตรฐานที่ควรจะเอาติดตัวเวลาไปเที่ยวยังที่ต่างๆนะครับ เดี๋ยวจะว่ากันเป็นทีละตัวเลย
ยาทุกตัวเห็นเป็นชื่อยาจริงๆ (Generic name) ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อการค้า (Trade name) นะครับ
เช่น Paracetamol คือชื่อยาจริงๆ แต่ยี่ห้อการค้าอาจจะเป็น Tylenol, Sara อะไรก็แล้วแต่ คือคนไทยเข้าใจกันเอง แต่ไปบอก Tylenol นี่ หมอต่างชาติงงครับ
ดังนั้นจะขอพูดถึงภาษาสากลเป็นหลัก คุยกับหมอ เภสัชกร พยาบาล ได้เหมือนกันทั่วโลก
ตัว Checklist ผมมีลิงค์เอาไว้ให้ดาวน์โหลดไปใช้ได้อยู่ทางด้านล่างนะครับ
ต้องเอายาไปให้ทั้งหมดนี้เหรอไม่
บางคนเห็นแล้วรู้สึกว่าทำไมมันเยอะจัง
จริงๆแล้วไม่ต้องเอาไปทั้งหมดนี้หรอกครับ มันขึ้นอยู่กับประเทศที่เราไป จำนวนวันที่เราอยู่ กิจกรรมที่เราจะทำด้วยครับ
- ถ้าไปกับทัวร์ยุโรป อาจจะไม่ต้องนำอะไรไปเลยด้วยซ้ำ
- ถ้าไปแบ๊คแพคอินเดีย แบบนี้ก็ต้องเตรียมไปมากหน่อย อะไรแบบนี้ครับ
- หรือในขณะที่บางคนไม่เคยเป็นภูมิแพ้มาก่อนในชีวิตเลย ยาแก้แพ้สำหรับเขาแล้วมันอาจจะดูไม่ค่อยจำเป็นเลยก็ว่าได้
ยาแก้แพ้
เอาไว้ใช้ทำอะไร > ลดน้ำ ลดอาการคัดจมูกได้บ้าง ผื่นแพ้ อะไรพวกนี้ครับ
มีหลายตัวมาก คนที่ใช้เป็นประจำจะรู้จักกับมันดี ถ้าถามว่าแนะนำตัวไหน ก็คือได้ทุกตัว เพียงแต่ถ้าเป็นยารุ่นเก่าๆเช่น CPM กินแล้วมันจะง่วงก็เลยไม่ค่อยแนะนำเท่าไร
- Loratadine หรือ Cetirizine จึงเป็นตัวที่ใช้กันบ่อยที่สุด ขนาดยาคือ 1 เม็ด หลังอาหาร วันละ 1 เม็ด
- Fexofenadine, Levocetirizine, Desloratadine ยาพวกนี้ใหม่กว่า แต่ราคาจะแพงกว่า พวกนี้กินวันละ 1 เม็ดครับ
ยาแก้คัดจมูก
ยาตัวนี้ต้องระวังการนำเข้าประเทศให้มาก เพราะว่าบางประเทศถือว่าเป็น ยาต้องห้าม
ในอดีตเราใช้พวก Actifed ซึ่งมียา Pseudoephredine เป็นส่วนประกอบ ซึ่งดันมีคนเอาไปทำเป็นยาเสพติด ผลปรากฎคือโดนแบนยาว ประเทศในยุโรป-ญี่ปุ่นจึงห้ามเอาเข้าประเทศ
- ในประเทศไทยเราจึงมาแนะนำให้ใช้ Phenylephrine แทนครับ ตัวนี้ไม่โดนแบน แต่ฤทธิ์แก้คัดจมูกจะสู้ตัวเดิมไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
- ขนาดยาคือ 1 เม็ด หลังอาหาร ทุกๆ 6 ชั่วโมง
- จริงๆจะมีแบบยาหยอดจมูก แต่ไม่ค่อยเหมาะกับนักเดินทางเท่าไร จึงไม่ค่อยแนะนำครับ
ยาทาแก้แพ้
ยาทาแก้แพ้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสเตียรอยด์ทั้งสิ้น ดังนั้นการใช้ต้องมีความระมัดระวัง
พยายามเลือกชนิดที่มีฤทธิ์อ่อนที่สุด เพื่อผลข้างเคียงจะได้น้อยที่สุด
- 1% Hydrocortisone เป็นยาที่ถูกแนะนำ (ไม่แนะนำยาชนิดอื่นเนื่องจากอาจจะเป็นสเตียรอยด์ที่แรงกว่า)
- เอาไปทาบางๆ ตรงบริเวณที่แพ้ ได้วันละ 2-3 ครั้งครับ
- ไม่ควรใช้ทาบริเวณเดิมซ้ำๆ มากกว่า 7 วันติดต่อกัน
ยาแก้ไอ
ยาแก้ไอมี 2 แบบคือ แบบไอแห้งๆ และแบบไอมีเสมหะ
- ไอแห้งๆ เรามักจะใช้ยาที่กดการไอเป็นหลัก ไม่ได้มีฤทธิ์ขับเสมหะ คือ Dextrometrophan กินวันละ 1 เม็ด หลังอาหาร 3 เวลาครับ
- ไอแบบมีเสมหะ เราจะไปใช้ยาที่มีฤทธิ์ขับเสมหะแทน คือ Bromhexine หรือ Acetylcysteine กินวันละ 1 เม็ด หลังอาหาร 3 เวลาเหมือนกัน
ยาแก้ไอบางตัวเป็น ยาต้องห้าม ในบางประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Codeine ไม่แนะนำให้พกไปต่างประเทศ โอกาสโดนซิวสูงมาก
ยาระบายชนิดอ่อน
- เอาไว้กินเวลาที่มีอาการท้องผูก ตัวที่แนะนำมีฤทธิ์อ่อน จึงเหมาะกับนักท่องเที่ยว
- Senna หรือ Bisacodyl เป็นตัวที่แนะนำ
- ขนาดยาคือ 1-2 เม็ด ก่อนนอน กินเฉพาะตอนที่มีอาการท้องผูกเท่านั้น
ยาแก้เมารถ มาเรือ
- คนขี้เมาจะคุ้นเคยกับมันดี คือ ยาเม็ดเล็กๆสีเหลืองนั่นแหละครับ เรียกว่า Dimenhydrinate
- ขนาดป้องกัน : ใช้สำหรับรู้แน่ๆว่าเรากำลังจะเมาในไม่ช้านี้ กิน 1 เม็ด ก่อน 30-60 นาทีที่จะขึ้นรถ เรือ หรือเครื่องบิน
- ขนาดรักษา : กิน 1 เม็ดทุกๆ 6 ชั่วโมง ถ้ายังมีอาการ
ยาแก้ปวดหรือลดไข้
- Paracetamol ถือเป็นยาที่มีความปลอดภัยในการใช้สูงมาก เป็นยาครอบจักรวาล ทำได้ทุกอย่าง
- สามารถกินได้เลย 1 เม็ดทุก 6-8 ชั่วโมง
ยาแก้อักเสบ
- ยาแก้อักเสบ ไม่ใช่ยาฆ่าเชื้ออย่างที่คนไทยเรามักจะเข้าใจผิด
- เอาไว้ใช้แก้ปวดประจำเดือน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดฟัน ฯลฯ
- มีหลายชนิดให้เลือก แล้วแต่ความคุ้นเคย คือ Diclofenac, Ibuprofen, Naproxen, Celecoxib, etc.
- ขนาดยาคือกิน 1 เม็ด หลังอาหาร เท่านั้น เพราะยามีฤทธิ์กัดกระเพาะ
- อีกรูปแบบนอกเหนือจากยาเม็ดคือ การใช้ยาแก้อักเสบชนิดที่เป็นครีมหรือสเปรย์เอาไว้ตามบริเวณที่ปวดเมื่อยครับ เช่นพวก Diclofenac spray
ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
- คนที่กระเพาะไม่ค่อยแข็งแรง เป็นโรคกระเพาะเป็นประจำ ควรพกติดตัวไว้
- ยาที่แนะนำคือ Omeprazole
- กินวันละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้าครับ
ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด
- แนะนำ Simethicone ครับ (ในประเทศไทยมีหลายสิบยี่ห้อเลยครับ)
- กิน 1 เม็ดหลังอาหาร เช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน
ยาแก้ปวดท้อง
- เวลาที่มีอาการปวดเกร็งบริเวณท้อง เกิดจากลำไส้บิดรัดตัว เช่นอาจจะมาจากการติดเชื้อในลำไส้
- มียาคือ Hyoscine (ในประเทศไทยเรียกตัวนี้อาจจะงง เรามักจะเข้าใจในชื่อการค้าว่า Buscopan มากกว่า)
- ขนาดยาคือ กิน 1 เม็ด หลังอาหาร 3 เวลา
- ห้ามใช้ถ้ามีถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน
- ใช้เวลาที่มีอาการอาเจียนจากอาหารเป็นพิษ หรือมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย
- ยาคือ Domperidone
- กิน 1 เม็ด ก่อนอาหาร 3 เวลา
เกลือแร่
- ORS เก็บเอาไว้ผสมน้ำดื่มกินเวลาท้องเสียครับ
ยาแก้ท้องเสีย
- อันนี้เป็นข้อถกเถียงกันพอสมควรว่า ควรจะมีติดเอาไว้ในกระเป๋ายาหรือไม่
- จากประสบการณ์คือ การเดินทางในประเทศที่ไม่เจริญ โอกาสท้องเสียจะค่อนข้างมาก และการหายาที่มีคุณภาพก็ทำได้ยาก
- ดังนั้นการพกติดตัวเอา จึงเป็นวิธีการที่ดีกว่า แต่ต้องเข้าใจวิธีการใช้ให้ถูกต้อง
- ปัจจุบันยังไม่มียาที่กินแล้วป้องกันไม่ให้ท้องเสียได้ เช่น Probiotic อะไรแบบนี้นะครับ
- มีทั้งหมด 3 อย่างที่ควรพกติดตัวไว้คือ Loperamide, Ciprofloxacin, ORS
Loperamide
เป็นยาที่ทำให้ลำไส้หยุดเคลื่อนตัว อ่านให้ดีก่อนทุกครั้ง ใช้ต่อเมื่อ มีครบทุกข้อ ตามนี้
- ใช้เมื่ออยู่ในระหว่างการเดินทางเท่านั้น เช่น ขึ้นรถไฟ/เครื่องบิน/รถบัส ซึ่งการเข้าห้องน้ำเป็นเรื่องที่โคตรลำบาก
- กิน 2 เม็ดทันที หลังจากนั้น 1 เม็ดทุกๆการถ่ายท้องเสีย ถ้ายังไม่หยุด
- ห้ามกินเกินวันละ 8 เม็ด
- ห้ามใช้ถ้ามีถ่ายอุจจาระเป็นเลือดและไข้สูง***
ที่ต้องห้ามใช้ เพราะว่าถ้าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดรุนแรง การที่เราไปกินยาหยุดการเคลื่อนไหวของลำไส้ มันจะยิ่งทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น แบคทีเรียอยู่ในตัวเรานานขึ้น
Ciprofloxacin
เป็นยาฆ่าเชื้อที่มีฤทธิ์ค่อนข้างกว้าง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ได้เกือบทุกชนิดในคนที่ท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่มีปัญหาคือการใช้ยาไม่เหมาะสมนำไปสู่การดื้อยาที่อันตรายกว่า
อ่านให้ดีก่อนทุกครั้ง ใช้ต่อเมื่อ มีครบทุกข้อ ตามนี้
- มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ > 3 ครั้ง/24 ชั่วโมง
- มีไข้ ปวดเกร็งท้อง ถ่ายเป็นเลือด คลื่นไส้อาเจียน
- กิน 1 เม็ดเช้า-เย็น หลังอาหาร ทั้งหมด 3 วัน
คำถามคือ ถ้าไม่กินยาได้ไหม เวลาท้องเสีย???
คำตอบคือ ได้ครับ เพราะท้องเสียส่วนใหญ่มาจากเชื้อไวรัสซึ่งหายได้เอง แต่ถ้ามีอาการตามด้านบนส่วนใหญ่มักจะเป็นแบคทีเรียมากกว่า จึงให้กินยาฆ่าเชื้อได้เลย
ยาป้องกัน/รักษา Mountain sickness
ยากลุ่มนี้มักจะต้องการใบสั่งแพทย์ และมักจะไม่อยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆ
Acetazolamide ใช้ได้ทั้งป้องกันและรักษา
- ขนาดป้องกัน ขนาด 125 mg ทุก 12 ชั่วโมง
- กินก่อนขึ้นเขตที่สูง 24 ชั่วโมง (ยังอยู่พื้นที่ราบ)
- กินต่อเนื่องทุกวัน ถ้ายังเดินทางสูงขึ้นเรื่อยๆ
- หลังจากเข้าสู่พื้นที่สูงแล้ว ถ้าความสูงไม่ได้เปลี่ยน ให้กินต่ออีก 2 วันแล้วหยุดได้
- ขนาดรักษา ขนาด 250 mg ทุก 12 ชั่วโมง
- ในกลุ่มคนที่แพ้ยา Sulfa ควรหลีกเลี่ยง
Link to download
สามารถกด download เพื่อนำไป print เก็บไว้ใช้ได้ครับ ตามลิงค์ด้านล่าง
เดินทางปลอดภัยครับ
หากใครสนใจอุปกรณ์การเดินทาง เป้แบคแพค เสื้อแจ็คเก็ตกันลมกันฝน เสื้อขนเป็ด ลองจอน ถุงมือกันหนาว
สามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าได้ที่ ร้านของพวกเรา The Puffin House